โรงแรมเมโตรโปล

สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่สวยงามในกรุงฮานอยได้รับการก่อสร้างในปลายศตวรรษที่ ๑๙ถึงต้นศตวรรษที่ ๒๐มีการผสมอย่างลงตัวกับภูมิทัศน์โดยรอบเช่นฟุตบาท ต้นไม้ที่ร่มรื่น ภูมิทัศน์ธรรมชาติและคนทำให้เมืองหลวงนี้มีความโดดเด่นสง่าเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีเมืองหลวงแห่งใดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียเหมือน ดังนั้นนักท่องเที่ยวไม่ว่าชาวต่างชาติหรือคนเวียดนามเมื่อมาฮานอยก็ไม่ควรพลาดชื่นชมความงดงามดังกล่าว  ปัจจุบัน มรดกจากฝรั่งเศสที่ยังหลงเหลืออยู่เช่น สะพานลองเบียนข้ามแม่น้ำโห่งหรือแม่น้ำแดงหรือมีอีกชื่อคือ สะพาน โปล ดู-แมร์ ซึ่งเป็นชื่อของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสในอินโดจีนที่ได้รับการออกแบบโดยบริษัทเดย์เด เอปีลเลและก่อสร้างเสร็จในปีค.ศ.๑๙๐๓ สะพานลองเบียนกลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของนครหลวงฮานอย   และยังมีสถาปัตยกรรมอีกหลายๆแห่งเช่นทำเนียบผู้สำเร็จราชการอินโดจีนหรือทำเนียบประธานประเทศในปัจจุบัน ทำเนียบผู้บริหารภาคเหนือหรือสถานรับรองแขกเมือง ธนาคารอินโดจีนหรือธนาคารชาติเวียดนาม พิพิธภัณฑ์หลุย ฟีโนต์หรือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติ ในปัจจุบันและอาคารศาลประชาชนสูงสุด   สถาปนิกหว่างด่าวกิ๊งห์ซึ่งเป็นชาวฮานอยที่หลงไหลสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสเปิดเผยว่า คนฝรั่งเศสได้เผยแพร่สถาปัตยกรรมใหม่ๆเข้าเวียดนาม นั่นคือ การออกแบบสถาปัตยกรรม การก่อสร้างด้วยอิฐและการออกแบบผังเมือง โดยเฉพาะได้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่ยังไม่เคยเห็นในเวียดนามมาก่อนเช่น สถานีรถไฟ ที่ทำการไปรษณีย์ โบสถ์ โรงละคร พิพิธภัณฑ์ โรงแรม สวยดอกไม้และน้ำพุ  ท่านหว่างด่าวกิ๊งห์กล่าวว่า “ คนฝรั่งเศสได้พัฒนาฮานอยให้ทันสมัยและระบุฮานอยในราบชื่อเมืองที่ทันสมัย  สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่ยังหลงเหลือในฮานอยปัจจุบันมีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๙ถึงต้นศตวรรษที่ ๒๐และได้รับการก่อสร้างให้เหมาะกับประเทศเขตร้อน รวมทั้งประวัติศาสตร์และประเพณีวัฒนธรรมของเวียดนาม ”

ทำเนียบผู้บริหารภาคเหนือบนถนนโงเกวี่ยน

สถาปัตยกรรมที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนได้แก่คฤหาสน์ที่มีระเบียงกว้างและอยู่กลางแมกไม้ ยกตัวอย่างเช่น ทำเนียบผู้บริหารภาคเหนือที่ด้านหน้าบ้านมีสวนดอกไม้กว้างสีสันหลากหลายและสวยสด ผนังบ้านทาสีเหลือง กรอบหน้าต่างทาสีเขียวซึ่งเมื่อแสดงแดดกระทบจะดูสวยงามยิ่งนัก  เยื้องไปหน่อยคือโรงแรมเมโตรโปลที่หรูหราสไตล์รุโรปโบราณ  ผนังทาสีขาวและกรอบหน้าต่างทาสีเขียว ซึ่งสร้างความลงตัวให้แก่ภูมิทัศน์ในบริเวณนี้  แต่ที่โดดเด่นเป็นสง่าก็ต้องกล่าวถึงโอเปร่า เฮ้าส์หรือโรงละครที่ได้รับการออกแบบเหมือนพระราชวังสีเหลืองอร่าม หลังคาโค้ง หน้าต่างและระเบียงกว้าง  สถาปนิกชาวฝรั่งเศสยังรู้จักใช้สถาปัตยกรรมศาลเจ้าของเวียดนามในสิ่งปลูกสร้างต่างๆด้วย ซึ่งทำให้สิ่งปลูกสร้างมีสไตล์หลากหลายมากขึ้น

ถนนบางสายในฮานอยมีคฤหาสน์สวยๆใต้ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบและให้ความร่มรื่น  ถนนแต่ละสายเลียนแบบคฤหาสของแต่ละภาคในฝรั่งเศสเช่น ถนนฟานดิ่งห์ฝุ่ง หว่างเหยี่ยว เจิ่นฟู้และเวโห่งฟองมีคฤหาสน์ได้รับการก่อสร้างสไตล์ภาคกลางของฝรั่งเศส  ถนนกวางจูงและเจิ่นก๊วกต่วานเลียนแบบคฤหาสภาคใต้ฝรั่งเศส  ส่วนถนนหลีนามเด๊มีการผสมระหว่างสถาปัตยกรรมของฝรั่งเศสและเอเชียตะวันออก  ข้อมูลสถิติปรากฎว่า ปัจจุบัน ในฮานอยยังมีคฤหาสน์สไตล์ฝรั่งเศส ๑,๖๐๐ แห่ง เป็นของส่วนตัวกว่า ๕๐๐ แห่งและกว่า ๑,๐๐๐ แห่งโดยรัฐถือกรรมสิทธิ์  อย่างไรก็ดี ในกระบวนการพัฒนนครหลวงฮานอยอย่างทันสมัย คฤหาสน์ของเอกชนได้ทรุดโทรมไปมาก ดังนั้นทางนครฮานอยได้ทำการสำรวจและช่วยเหลือซ่อมแซมมรดกเหล่านี้ นางเหวียนถิ่หว่า เจ้าของวิลล่าหลังหนึ่ง ถนนเจิ่นก๊วกตว่านเปิดเผยว่า “ ดิฉันคิดว่า สมควรแล้วที่จะซ่อมแซมคฤหาสเก่าแก่นี้ ซึ่งการที่รัฐช่วยก็เป็นเรื่องที่ดีมาก  โดยเฉพาะรัฐแนะนำและสนับสนุนตามรูปแบบรัฐและประชาชนร่วมกันจะทำให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น ”

โอเปรา เฮ้าส์บนถนนจ่างเตี่ยน 

สถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่มีเอกลักษณ์พร้อมกับสถาปัตยกรรมพ้นบ้านของเวียดนามที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เช่น วันเหมียวก๊วกตื่อย้าม วัดเสาเดียวและย่านเก่าแก่ ๓๖ สายได้สร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของฮานอย ซึ่งจะส่งผลอีต่อการพัฒนานครหลวงอย่างกลมกลืนและยั่งยืนในอนาคต ./.