กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมปี 2019 ของสหรัฐ: การลงทุนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์กองทัพสหรัฐ

(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในกฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมสำหรับปีงบประมาณ 2019 หรือเอ็นดีเอเอ โดยประเมินว่า นี่คือการลงทุนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งที่น่าสนใจคือ กฎหมายได้แสดงให้เห็นถึงจุดยืนที่แข็งกร้าวมากขึ้นต่อจีน โดยเฉพาะในแง่ยุทธศาสตร์เมื่อเทียบกับประธานาธิบดีสหรัฐสมัยก่อน

กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมปี 2019 ของสหรัฐ: การลงทุนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์กองทัพสหรัฐ - ảnh 1ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในกฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมสำหรับปีงบประมาณ 2019  2019 (AFP) 

ก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐลงนามบังคับใช้ กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมปี 2019 ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากสภาล่างและวุฒิสภาสหรัฐเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมและต้นเดือนสิงหาคม การที่รัฐสภาสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นการสนับสนุนคำเรียกร้องของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพ

การลงทุนครั้งใหญ่ให้แก่กองทัพสหรัฐ

กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมฉบับนี้มีมูลค่า 7 แสน 1 หมื่น 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในนั้นทางการสหรัฐจะจัดงบ 6 หมื่น 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมในต่างประเทศและประมาณ 2 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และงบจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35 ซึ่งเป็นโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ใช้งบมากที่สุดของเพนตากอน และนอกจากนี้ ยังจัดงบ 2 หมื่น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับการต่อเรือพิฆาตและการยกระดับเรือรบ รวมทั้งเรือบรรทุกเครื่องบิน Ford รุ่นที่ 4 และเรือดำน้ำติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี Columbia 1ลำ

นอกจากนั้น เอ็นดีเอเอยังระบุค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อื่นๆ ตลอดจนโครงการพัฒนาอาวุธใหม่ เช่นเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัยไกล บี-21 และการรวมระบบป้องกันขีปนาวุธ Patriot และ THAAD เข้าด้วยกัน

การที่กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมได้รับการอนุมัติได้แสดงให้เห็นว่า ภายหลังหลายปีที่ถูกปรับลดงบประมาณ  สหรัฐกลับมาพพัฒนากองทัพในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยอมรับว่า นี่คือการลงทุนสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของกองทัพสหรัฐ ช่วยผลักดันความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนและกองทัพจะมีเครื่องบิน เรือรบ รถถังและขีปนาวุธที่ทันสมัยที่สุด

เป้าหมายและท่าทีจากภายนอก

ควบคู่กับการผลักดันการลงทุนให้แก่กองทัพสหรัฐ กฎหมายงบปนะมาณด้านกลาโหมฉบับปี 2019 ยังยืนยันถึงความท้าทายหลักต่อความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของสหรัฐ นั่นคือการฟื้นตัวของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว โดยสหรัฐต้องมีปฏิบัติการมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับจีนและรัสเซีย ดังนั้น พร้อมกับมาตรการเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนในหลายเดือนมานี้ กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมฉบับนี้ยังมีเนื้อหาที่มีนัยยะแข็งกร้าวต่อจีน โดยกฎหมายได้จัดงบสำหรับ 14 ปฏิบัติการเพื่อขัดขวางจีน รวมทั้งการช่วยเหลือข้อคิดริเริ่มรักษาเสถียรภาพภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย – แปซิฟิก ยกระดับข้อคิดริเริ่มเก่าเกี่ยวกับความมั่นคงในการเดินเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อครอบคลุมภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย-แปซิฟิก

นอกจากนั้น กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมปี 2019 ของสหรัฐยังเพิ่มอำนาจของคณะกรรมการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบวงเงินลงทุนของจีน และขณะนี้ คณะกรรมการฯนี้ได้รับหน้าที่ประเมินผลกระทบของวงเงินลงทุนนี้ต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับกฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมฉบับก่อนหน้านี้ กฎหมายฉบับนี้ได้ลดมาตรการของควบคุมการดำเนินงานของบริษัท 2 แห่งของจีนคือบริษัท ZTE Corp และบริษัท Huawei Technologies Co Ltd.

หลังจากกฎหมายได้รับการอนุมัติในรัฐสภาสหรัฐ ปักกิ่งก็ได้ออกมาตำหนิท่าทีนี้ และเรียกร้องให้วอชิงตันยกเลิก “แนวคิดสงครามเย็นที่ล้าสมัย ผู้ชนะและผู้แพ้” โดยนาย เกิ๋งส่วง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนย้ำว่า  สหรัฐกำลัง “ทำลายความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคี”

กฎหมายงบประมาณด้านกลาโหมปี 2019 ของสหรัฐแสดงให้เห็นถึงคำมั่นของทางการประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการธำรงอุตสาหกรรมกลาโหมให้เข้มแข็ง มั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน การปฏิบัตินี้ก็สร้างความวิตกกังวลให้แก่ประชาคมโลก.

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด