อีวีเอฟทีเอ โอกาสปฏิรูปการบริหารสถานประกอบการและผลักดันการส่งออกสินค้าการเกษตรของเวียดนาม

(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน เวียดนามและสหภาพยุโรปหรืออียูได้ลงนามข้อตกลงสำคัญสองฉบับคือ ข้อตกลงการค้าเสรีหรืออีวีเอฟทีเอและข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างเวียดนามกับสหภาพยุโรปหรืออีวีไอพีเอ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่รอบด้าน มีคุณภาพสูงและรักษาความสมดุลด้านผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายผ่านคำมั่นเปิดตลาดอย่างกว้างขวาง พร้อมทั้งเป็นโอกาสให้สถานประกอบการเวียดนามเพิ่มขีดความสามารถในการผสมผสานและขยายตลาดส่งออกสินค้าการเกษตร
อีวีเอฟทีเอ โอกาสปฏิรูปการบริหารสถานประกอบการและผลักดันการส่งออกสินค้าการเกษตรของเวียดนาม - ảnh 1(Photo Internet)

ข้อตกลงอีวีเอฟทีเอได้รับการประเมินว่า จะเปิดโอกาสให้แก่เวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้สถานประกอบการเวียดนามเข้าถึงหุ้นส่วนการค้าที่หลากหลายทั่วโลกเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าในตลาดต่างๆ และได้เรียนรู้ประสบการณ์จากหุ้นส่วนยุโรป

อีวีเอฟทีเอยังเป็นกุญแจสำคัญในกระบวนการปฏิรูปเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนาม โดยเฉพาะในช่วงที่เวียดนามผลักดันการปฏิรูปสถานประกอบการภาครัฐ พร้อมทั้งปฏิรูปรูปแบบการบริหารของสถานประกอบการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับสถานประกอบการยุโรปและโลก ดังนั้น สถานประกอบการเวียดนามต้องทำการเปลี่ยนแปลงและมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น โดยเฉพาะในการบริหารเพื่อแสวงหาจุดแข็งและตลาดใหม่ๆ ส่วนรัฐบาลเวียดนามได้อำนวยความสะดวกให้สถานประกอบการเชื่อมโยงกับสถานประกอบการต่างประเทศเพื่อเปิดโอกาสเข้าถึงและเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและการบริหารงาน นายหวูเตี๊ยนหลก ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามแสดงความคิดเห็นว่า สถานประกอบการเวียดนามมีโอกาสเข้าถึงตลาดที่มีประชากร 500 ล้านคนที่มีกำลังซื้อและมีคุณภาพสูง การเข้าถึงตลาดนี้จะช่วยให้สถานประกอบการเวียดนามเพิ่มมูลค่าและสร้างงานทำจำนวนมาก            “อียูเป็นตลาดที่มีมาตรฐานสูง ดังนั้น เมื่อเข้าร่วมกตลาดนี้ สถานประกอบการเวียดนามต้องพัฒนาเพื่อตอบสนองเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ทั้งในด้านเทคโนโลยี การบริหารและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งจะช่วยให้สถานประกอบการเวียดนามเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น ข้อตกลงฉบับนี้จะขับเคลื่อนการปฏิรูประเบียบราชการในเวียดนามและสร้างบรรยากาศการประกอบธุรกิจที่โปร่งใส ยุติธรรมและอำนวยความสะดวกให้สถานประกอบการเวียดนามพัฒนาอย่างเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้นผลกระทบจากอีวีเอฟทีเอคือผลกระทบอย่างรอบด้าน ซึ่งช่วยให้สถานประกอบการเวียดนาม โดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตและตอบสนองเงื่อนไขระหว่างประเทศ”

ปัจจุบันนี้ เวียดนามเป็นประเทศส่งออกสินค้าการเกษตรและสัตว์น้ำรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะข้าว พริกไทย มะม่วงหิมพานต์ ผักผลไม้และอาหาร ใน 5 เดือนแรกของปี 2019 มูลค่าการนำเข้าและส่งออกระหว่างเวียดนามกับอียูบรรลุ 2 หมื่น 2 พัน 8 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการส่งออกสินค้าการเกษตรของเวียดนามได้บรรลุกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยส่งออกไปยังตลาดยุโรปกว่าร้อยละ 15 เมื่ออีวีเอฟทีเอมีผลบังคับใช้ สินค้าการเกษตรเกือบทั้งหมดจะได้รับการยกเว้นภาษี นายเจิ่นต๊วนแอ็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์เวียดนามเผยว่า            “ข้อตกลงหุ้นส่วนในทุกด้านและก้าวหน้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกหรือซีพีทีพีพีเปิดโอกาสให้เวียดนามเข้าถึงตลาดที่มีจีดีพีประมาณ 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนข้อตกลงอีวีเอฟทีเอจะช่วยให้เวียดนามเข้าถึงตลาดที่มีจีดีพีถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าหากรวมสองตลาดนี้ การส่งออกสินค้าการเกษตรของเวียดนามจะบรรลุร้อยละ 35 หมายความว่า อย่างน้อย 1 ใน 3 ของมูลค่าสินค้าการเกษตรและสัตว์น้ำของเวียดนาม จะมีโอกาสเข้าถึงตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพนี้”

เอฟทีเอระหว่างเวียดนาม-อียูคือโอกาสให้เวียดนามเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าการส่งออกเพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าการเกษตรไปยังตลาดยุโรปที่เต็มไปด้วยศักยภาพอย่างยั่งยืน แต่เวียดนามก็ต้องเผชิญกับความท้าทายคือต้องแข่งขันกับประเทศที่มีระบบการเกษตรที่พัฒนา มีกลไกระเบียบการที่สมบูรณ์และมีประสบการณ์ด้านตลาด ดังนั้น ภาคการเกษตรเวียดนามต้องพัฒนาให้ตอบสนองความต้องการของการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกและการขยายตลาดอย่างยั่งยืนมากขึ้น.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด