เปลี่ยนแปลงใหม่นโยบายเพื่อดึงดูดเงินเอฟดีไอมากขึ้น

(VOVworld) - จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมปี 2016 เวียดนามสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอได้เกือบ 1 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและแสดงให้เห็นว่า เวียดนามคือจุดนัดพบที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ  แต่ในการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกในปัจจุบัน เวียดนามต้องมีนโยบายใหม่ๆเพื่อดึงดูดโครงการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และคํ้าประกันบรรยากาศการประกอบธุรกิจที่โปร่งใส

(VOVworld) - จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมปี 2016 เวียดนามสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอได้เกือบ 1 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและแสดงให้เห็นว่า เวียดนามคือจุดนัดพบที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ  แต่ในการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกในปัจจุบัน เวียดนามต้องมีนโยบายใหม่ๆเพื่อดึงดูดโครงการลงทุนที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและคํ้าประกันบรรยากาศการประกอบธุรกิจที่โปร่งใส

เปลี่ยนแปลงใหม่นโยบายเพื่อดึงดูดเงินเอฟดีไอมากขึ้น - ảnh 1
เปลี่ยนแปลงใหม่นโยบายเพื่อดึงดูดเงินเอฟดีไอมากขึ้น

ตามข้อมูลสถิติของกระทรวงวางแผนและการลงทุน ใน 7 เดือนแรกของปี 2016 เวียดนามมี โครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ 2068โครงการที่ได้รับใบอนุญาตลงทุนและขยายเงินทุน รวมยอดเงินลงทุนจดทะเบียนเกือบ 1 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ปัจจุบัน  สถานประกอบการที่ใช้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ เอฟดีไอมีส่วนร่วมร้อยละ 20 ในจีดีพีเวียดนามและสมทบรายได้เข้างบประมาณแผ่นดินคิดเป็นร้อยละ 20 ของยอดรายรับงบประมาณ ซึ่งมีส่วนร่วมไม่น้อยต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจและเอื้อให้แก่การผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจโลกของเวียดนาม  สมาคมสถานประกอบการลงทุนจากต่างประเทศได้เผยว่า นับตั้งแต่ต้นปีมานี้ กลุ่มสถานประกอบการเอฟดีไอถือเป็นแรงกระตุ้นที่เข้มแข็งด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากตัวเลขการเบิกจ่ายเงินทุนของโครงการต่างๆที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปี 2015 การเบิกจ่ายเงินเอฟดีไออยู่ที่กว่าร้อยละ 12 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา แต่เฉพาะใน 7 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ ตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  นาย เหงวียนวันตว่าน อุปนายกสมาคมสถานประกอบการลงทุนจากต่างประเทศได้เผยว่า“แนวโน้มการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนามในปีนี้คือดอกผลที่สำคัญของการผสมผสาน การเบิกจ่ายเงินทุนเพิ่มขึ้นได้แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในเวียดนาม อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศของเวียดนาม”
แต่อย่างไรก็ตาม การดึงดูดเงินเอฟดีไอกำลังประสบอุปสรรคต่างๆ โดยรายงานเกี่ยวกับผลกระทบจากสถานประกอบการที่ใช้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีต่อสิ่งแวดล้อมของสถาบันวิจัยเกี่ยวกับการบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางระบุว่า ตั้งแต่ปี 2011 ถึงปี 2015 จำนวนสถานประกอบการที่ใช้เทคโนโลยีขั้นตํ่าและอาจก่อให้เกิดปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อม เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุตสาหกรรมผลิตสารเคมีและเหล็ก เป็นต้น ขยายการลงทุนในเวียดนามนับวันเพิ่มมากขึ้น  รองศาสตราจารย์ ดร. โตจุงแถ่ง จากมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งชาติได้เผยว่า“ข้อมูลสถิติของกระทรวงวางแผนและการลงทุนเกี่ยวกับการดึงดูดเงินเอฟดีไอในเวียดนามในตลอด 25 ปีที่ผ่านมาระบุว่า  มีสถานประกอบการลงทุนจากต่างประเทศร้อยละ 80 ใช้เทคโนโลยีระดับกลาง  และมีแค่ร้อยละ 6 เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและค่าจ้างแรงงานถูกในเวียดนาม”
ส่วนนาย โด๊ะเญิดหว่าง อธิบดีกรมการลงทุนต่างประเทศสังกัดกระทรวงวางแผนและการลงทุนได้เผยว่า เพื่อตอบสนองความต้องการของสภาวการณ์ใหม่ โดยเฉพาะการผสมผสานเข้ากับกระแสเศรษฐกิจอย่างกว้างลึกของเวียดนาม จำเป็นต้องทำการวิจัยและประเมินเกี่ยวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพื่อมีนโยบายที่เหมาะสมสำหรับการยกระดับประสิทธิภาพของการปฏิบัติโครงการที่ใช้เงินเอฟดีไอและเผยว่า“ต้องพิจารณาการแบ่งระดับการบริหารการลงทุนจากต่างประเทศและการตรวจสอบการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งต้องดึงดูดโครงการลงทุนจากต่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งในนั้นต้องคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคมและการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดของนักลงทุน”
บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจได้เผยว่า เพื่อให้เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจังและยกระดับสถานะของเวียดนามในตลาดโลก ในระยะปี 2016 – 2020 ต้องมีนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในโครงการต่างๆที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นโครงการอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและการผลิตที่สร้างมูลค่าสูง สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงและจุดแข็งของท้องถิ่นต่างๆและสร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการเวียดนามเข้าร่วมห่วงโซ่คุณค่าโลก.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด