ภาพการแถลงข่าวต่างประเทศ (vietnamplus)

นาย เหงียนก๊วกหยุง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามและหัวหน้าคณะ SOM อาเซียนได้เผยว่า การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 37 และการประชุมระดับสูงต่างๆที่เกี่ยวข้องจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 12-15 พฤศจิกายนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ นี่เป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดของอาเซียนในปี 2020 ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากประชามติทั้งภายในและนอกภูมิภาค                       “การประชุมเป็นโอกาสเพื่อให้อาเซียนสรุปผลความร่วมมือในตลอดทั้งปีสำหรับกิจกรรมภายในกลุ่ม ตลอดจนความร่วมมือกับหุ้นส่วนต่างๆและกำหนดแนวทางที่ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆในระยะต่อไป อีกทั้งเป็นโอกาสเดียวของปีที่ผู้นำอาเซียนจะได้ประชุมกับผู้นำของหุ้นส่วนสำคัญๆส่วนใหญ่ของอาเซียน

คาดว่า จะมีการจัดกิจกรรมระดับสูง 20 กิจกรรมในการประชุมครั้งนี้ เช่น การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 37 การประชุมสุดยอดอาเซียน +1 กับจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สหรัฐและอินเดีย นอกจากนี้ จะมีการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีอาเซียนครั้งแรกภายใต้หัวข้อ “บทบาทของสตรีในการสร้างสรรค์ประชาคมอาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียว คล่องตัว ยั่งยืนและรอบด้านในโลกหลังวิกฤตโควิด -19”

คาดว่า บรรดาผู้นำจะอนุมัติ รับทราบและประกาศเอกสารกว่า 80 ฉบับ ที่น่าสนใจคือแถลงการณ์ฮานอยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนหลังปี 2025 แถลงการณ์ฮานอยเกี่ยวกับการผลักดันงานด้านสวัสดิการสังคมมุ่งสู่ประชาคมอาเซียนที่เป็นหนึ่งเดียวและพร้อมปรับตัวและแถลงการณ์ระดับสูงเอเชียตะวันออกเกี่ยวกับความร่วมมือทางทะเลอย่างยั่งยืน

สำหรับความเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆจะลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจในทุกด้านในภูมิภาคหรือ RCEP ในกรอบของการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ เหงียนก๊วกหยุงเผยว่า ขณะนี้ การเจรจาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ประเทศต่างๆกำลังผลักดันขั้นตอนภายในเพื่อให้สามารถลงนามได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน    สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐในสภาวการณ์ที่ประเทศสหรัฐเพิ่งเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดี นาย เหงียนก๊วกหยุง ได้เผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน – สหรัฐ ได้รับการสถาปนามานานกว่า 40 ปีและมีรากฐานที่มั่นคง อาเซียนชื่นชมสหรัฐที่มีส่วนร่วมต่อการธำรงสันติภาพ เสถียรภาพและการพัฒนาในภูมิภาคอยู่เสมอ และเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีสหรัฐจะเป็นใครแต่ก็จะสนับสนุนแนวโน้มความร่วมมือนี้ระหว่างอาเซียนกับสหรัฐและนำความสัมพันธ์ทวิภาคีพัฒนามากขึ้นต่อไป.