เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพ “ไทย ลาว เวียดนามและจีน”

(VOVworld) – เส้นทางท่องเที่ยวจากจังหวัดพะเยา ประเทศไทยผ่านเมืองขวา ประเทศลาวเข้าเดียนเบียนฟูของเวียดนามแล้วต่อไปยังมณฑลหนานหนิง ประเทศจีนจะเปิดให้บริการในอีก 2 ปีข้างหน้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวจังหวัดเหล่านี้มากขึ้น นี่คือคำยืนยันของนายมานพหาลือ นายกสมาคมการค้า-ธุรกิจ-ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยาในโอกาสมาเยือนเวียดนามเพื่อสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวนี้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

(VOVworld) – เส้นทางท่องเที่ยวจากจังหวัดพะเยา ประเทศไทยผ่านเมืองขวา ประเทศลาวเข้าเดียนเบียนฟูของเวียดนามแล้วต่อไปยังมณฑลหนานหนิง ประเทศจีนจะเปิดให้บริการในอีก 2 ปีข้างหน้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเที่ยวจังหวัดเหล่านี้มากขึ้น นี่คือคำยืนยันของนายมานพหาลือ นายกสมาคมการค้า-ธุรกิจ-ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยาในโอกาสมาเยือนเวียดนามเพื่อสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวนี้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพ “ไทย ลาว เวียดนามและจีน” - ảnh 1
นายมานพ หาลือ นายกสมาคมการค้า-ธุรกิจ-ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยา
จังหวัดพะเยาเป็นจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนบน โดยทิศเหนือติดกับจังหวัดเชียงราย ทิศตะวันออกติดจังหวัดน่านและแขวงไชยบุรีของลาว ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับจังหวัดลำปางและทิศใต้ติดกับจังหวัดแพร่ นายมานพ หาลือ นายกสมาคมการค้า-ธุรกิจ-ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยาเผยว่า จังหวัดพะเยายังมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอีกมากมาย “ที่พะเยาที่เรามี unseen ที่สุดคือการเวียนเทียนในน้ำ ปีหนึ่งมี 3 ครั้ง เรามีวัดอยู่ในน้ำ อย่างที่สองคือทุ่งดอกบัวแดง ซึ่งช่วงพฤษภาและมิถุนานี้ ดอกบัวแดงประมานสองร้อยไร่ เต็มกว๊านเลย แล้วก็จะมีนกนานาชนิดที่มาจากไซบีเรีย มาจากประเทศจีนหรือว่าอะไรที่หนีหนาวมาลงประมาณสักสองสามเดือน ถ้านักท่องเที่ยวชอบแบบ adventure เราก็มีการพิชิตไต่หน้าผาหรือว่าปั่นจักรยานรอบกว๊านพะเยา เมืองพะเยาเป็นเมืองที่สงบ ที่ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ แล้วที่เราจะทำเป็น unseen อย่างที่สองคือวัดห้วยผาเกี๋ยง ซึ่งมีหน้าผาหินทรายที่ดีที่สุดของประเทศไทย จะมีลายของหินเป็นธรรมชาติ เราจะแกะพระพุทธรูปหรือประวัติต่างๆในสองกิโลเมตรครึ่งที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องราวของพะเยาทั้งหมด พระพุทธรูปนี้สามารถดูได้เนื้อลายจะเป็นธรรมชาติ ระยะสองก.ม.ครึ่งจะเห็นหมดเลย แล้วก็มีหน้าผาที่สูงที่สุด 40 ม. สามารถโรยตัวอะไรได้ สวยงาม”
เพื่อพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวดังกล่าว เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะสำรวจเส้นทางการท่องเที่ยวครั้งนี้ได้เดินทางมาประเทศเวียดนามเพื่อสำรวจการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่นี้เพื่อใช้ศักยภาพการท่องเที่ยวที่มีอยู่ของแต่ละประเทศ นาย ธรรมพลก์ ศรีสกุล เลขาธิการสมาคมการค้า ธุรกิจ ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยาเผยว่า “วัตถุประสงค์ของการมาเวียดนามครั้งนี้คือเรามาสำรวจเส้นทางจากด่านบ้านฮวก ซึ่งจะเปิดในสองปีข้างหน้าเป็นด่านถาวร เพื่อที่จะใช้เส้นทางตรงนี้เข้ามาโดยผ่านลาว แล้วเข้าตรงมาที่เวียดนาม แล้วจากเวียดนามนี้เราก็จะไปเข้าที่จีนต่อ อาจจะเป็นหนานหนิง มณฑลกวางสีหรือจะเป็นมณฑลยูนาน เดี๋ยวเราจะดูอีกแต่ว่าจะต้องผ่านที่เวียดนาม เราเดินทางโดยรถยนต์แล้วเราก็เก็บในส่วนของเส้นทางตลอดทางตั้งแต่จากเมืองไทยมาเลยว่า เราจะต้องผ่านบ้านอะไรบ้าง เราจะต้องผ่านตำบลอะไรบ้าง ผ่านจังหวัดอะไรบ้าง โดยรวมระยะทางกี่กิโลมีปั๊มน้ำมันตรงไหน มีร้านอาหารตรงไหน มีโรงแรมอยู่บริเวณไหน เราจะต้องเก็บข้อมูลทั้งหมด”
เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพ “ไทย ลาว เวียดนามและจีน” - ảnh 2
นาย ธรรมพลก์ ศรีสกุล เลขาธิการสมาคมการค้า ธุรกิจ ท่องเที่ยวจังหวัดพะเยา
ตามแผนที่วางไว้ นักท่องเที่ยวจากพะเยาจะเดินทางไปถึงประเทศลาวผ่านด่านบ้านฮวกเข้าเมืองขวา ประเทศลาว ซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของแขวงไชยบุรีและติดกับจังหวัดเดียนเบียนของเวียดนาม ถ้าหากไปยังเมืองขวา นักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น หมู่บ้านปากน้ำน้อย ซึ่งเป็นตลาดนัดของชนกลุ่มน้อยที่มีขึ้นสองครั้งต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีป่าสงวนแห่งชาติภูสะง่า ซึ่งเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบการศึกษาวิจัย
นอกจากนี้ นาย ธรรมพลก์ ศรีสกุลยังกล่าวถึงเมืองเดียนเบียนและซาปาว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสองแห่งที่น่าสนใจในเขตเขาภาคเหนือของประเทศเวียดนาม เมืองเดียนเบียนฟูตั้งอยู่ในจังหวัดเดียนเบียน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากยุทธนาการที่เดียนเบียนฟูเมื่อปี 1954 ระหว่างกองทัพเวียดมิงห์ ซึ่งนำโดยพลเอกหวอเงวียนย้าปกับกองทัพฝรั่งเศส นำโดยนายพล คริสตีย็อง เดอ กัสทรี เมื่อเดินทางถึงจังหวัดเดียนเบียน ท่านก็สามารถไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ เช่น ทุ่งนาเหมื่องแทง เนินหินฟาดิน สระป๊าควาง ถ้ำปาเทิมและตลาดนัดต๋าสิ่นถ่างของชนกลุ่มน้อยเผ่าม้ง เป็นต้น นอกจากนี้ ถ้าหากเป็นคนที่ชอบการท่องเที่ยวแบบเผจญภัย ก็ไม่ควรพลาดยอดเขาฟานซิปังในเทือกเขาหว่างเลียนเซินที่มีความสูง 3,143 เมตร ซึ่งได้ฉายาว่า "หลังคาแห่งอินโดจีน"  ส่วนในเมืองซาปา ท่านจะได้สัมผัสกับนาข้าวขั้นบันไดที่เหลืองอร่ามสวยงามยามฤดูเก็บเกี่ยว เป็นต้น
การสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวครั้ง นี้เป็นการดำเนินการภายใต้ความร่วมมือ ระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุภาวดี โพธิยะราช กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำโดยคุณอุไรรัตน์ เนาถาวร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนวัติ ลิมป์พาณิชย์กุล มหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์  ดร.ประกอบศิริ ภักดีพินิจและสมาคมการค้าธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดพะเยา
สถานที่สุดท้ายในเส้นทางท่องเที่ยวใหม่นี้คือมนฑลหนานหนิงของประเทศจีน ซึ่งมีห้างสรรพสินค้ามากมายพร้อมสินค้านานาชนิด ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประกอบศิริ ภักดีพินิจ ในชุดอ๊าวหย่ายหรือชุดเสื้อยาวประจำชาติของเวียดนาม จากมหาวิทยาลัยจังหวัดพะเยาเผยว่า เพิ่งได้หารือกับบริษัทการท่องเที่ยว Travel Agency ของเวียดนามเกี่ยวกับแผนการเปิดเส้นทางท่องเที่ยวใหม่นี้ “จากการที่พวกเราได้พูดคุยกับผู้ประกอบการที่อยู่ในเวียดนามคือเรามองเห็นศักยภาพของตลาดใหม่ ตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ก็คือตลาดของกลุ่มคนเวียดนามที่มีเวลาและสามารถจะใช้จ่ายในราคาที่สูงได้ ก็คือมองในตลาดของกลุ่มคาราวาน ก็คือการเดินทางท่องเที่ยวโดยตรงแล้วก็ใช้เวลาในการเดินทางหลายๆวัน ซึ่งทางบริษัท Agency ทางเวียดนามก็มองเห็นศักยภาพที่ว่า นักท่องเที่ยวเวียดนามที่สนใจเที่ยวเชียงรายหรือเชียงใหม่เขาสามารถที่จะเดินทางท่องเที่ยวโดยผ่านชายแดนของบ้านฮวกของจังหวัดพะเยา”
เส้นทางท่องเที่ยวใหม่ที่มีศักยภาพ “ไทย ลาว เวียดนามและจีน” - ảnh 3
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประกอบศิริ ภักดีพินิจ
ถนนหนทางที่สะดวกบวกกับการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรืออีเอซีในเร็วๆนี้จะช่วยให้การเดินผ่านระหว่างภูมิภาคง่ายขึ้น นักท่องเที่ยวจะสามารถร่วมทัวร์ด้วยกันเพื่อเที่ยวแต่ละประเทศอาเซียนหรือเที่ยวกลุ่มอาเซียน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ประกอบศิริ ภักดีพินิจอธิบายเพิ่มเติมว่า “การร่วมกันเป็นเออีซีจะทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาสามารถเดินทางเชื่อมต่อในระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น เมื่อก่อนการที่เขาจะเดินทางมาประเทศไทยแล้วเข้าลาว เข้ามาฮานอยหรือว่าเวียดนามอาจจะยากแต่ในอนาคตการเป็นเออีซีทำให้เขาเดินทางเชื่อมโยงเข้ามาท่องเที่ยวในแต่ละประเทศง่ายขึ้นจากการที่เป็นเออีซีก็จะทำให้เกิดอัตราการหมุนเวียนของนักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศสูงขึ้น ตรงนี้น่าจะเป็นผลพลอยได้ที่ทุกประเทศน่าจะได้ร่วมมือกัน ส่วนศักยภาพตลาดของนักท่องเที่ยวเวียดนามมองว่านับวันก็ยิ่งสูงขึ้นเพราะว่าคนเวียดนามมีรายได้สูงมากขึ้น คือมากกว่า 3600USD เพราะฉะนั้นการที่ประชากรของฮานอยหรือเมืองหลักๆของเวียดนามมีรายได้สูงขึ้นก็จะเกิดศักยภาพในการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศมากขึ้น”
จากสถานที่ท่องเที่ยวที่มีศักยภาพดังกล่าว สามารถยืนยันได้ว่า ในอีก 2 ปีข้างหน้า เมื่อด่านบ้านฮวกได้รับการยกระดับเป็นด่านสากล จำนวนนั`กท่องเที่ยวที่ท่องเที่ยวผ่านเส้นทางนี้จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวของ 4 ประเทศ ไทย ลาว เวียดนามและจีนอย่างแน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด