ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ต่อ COP 30
Quang Dung -  
(VOVWORLD) - การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ COP ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน ณ เมืองเบเลง บริเวณป่าอเมซอนในประเทศบราซิลต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนับวันมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย
ป่าอเมซอนและเมืองเบเลงที่พื้นหลัง ก่อนการประชุม COP 30 ที่ Ilha do Combu เบเลง รัฐปารา ประเทศบราซิลเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม (REUTERS/Anderson Coelho) |
ก่อนการประชุม COP 30 จะมีการจัดการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศในระหว่างวันที่ 6 - 7 พฤศจิกายน ณ เมืองเบเลง โดยมีตัวแทนจาก 143 ประเทศ รวมถึงคณะผู้แทน 57 คณะที่นำโดยประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีเข้าร่วม เพื่อสร้างแรงผลักดันให้แก่การประชุม COP 30
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
ในรายงานล่าสุดก่อนการประชุม COP 30 องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกหรือ WMO ระบุว่า ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CO2 ในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 2024 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการวัดเมื่อปี 1957 โดยอัตราการเพิ่มขึ้นของคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกตั้งแต่ปี 2023-2024 สูงที่สุด และเตือนว่า ปริมาณความร้อนที่กักเก็บโดยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ กำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เกิดสภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลกมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
รายงานที่ WMO เผยแพร่ได้แสดงให้เห็นว่า การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายเป็นอย่างมาก นอกจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์แล้ว พันธกรณีต่อการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศต่างๆ ก็กำลังถูกตั้งคำถามเช่นกัน โดยในการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศในกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติหรือ UNGA สมัยที่ 80 ซึ่งจัดขึ้น ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา สหประชาชาติระบุว่า มีเพียงประมาณ 50 ประเทศเท่านั้นที่ยื่นเอกสาร “การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ NDCs ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุพันธกรณีต่อการดำเนินการของประเทศต่างๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
การเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นปัญหาสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง เมื่อ “รายงานช่องว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Emission Gap Report” ซึ่งเผยแพร่โดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติหรือ UNEP เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมได้แสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมด้านการเงินจากประเทศพัฒนาแล้วเพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ลดลงจาก 2 หมื่น 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 ลงเหลือ 2 หมื่น 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 ในขณะที่ UNEP คาดการณ์ว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงิน 3 แสน 1 หมื่น -3 แสน 6 หมื่น 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับโครงการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จำนวนเงินที่ต้องการจะสูงขึ้นมากถ้าหากมีการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศอื่นๆ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เป็นต้น ตามข้อตกลงที่บรรลุในการประชุม COP29 เมื่อปีที่แล้ว ณ เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน ประเทศร่ำรวยให้คำมั่นที่จะสนับสนุนเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศปีละ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2035 เป็นต้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยของสหประชาชาติได้แสดงให้เห็นว่า ประเทศกำลังพัฒนาต้องการเงินสนับสนุนอย่างน้อย 4 เท่าของตัวเลขดังกล่าว นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติประกาศว่า
“เราจำเป็นต้องมุ่งเป้าหมายให้มากขึ้น โดยบรรดาผู้นำต้องสร้างแผนการที่น่าเชื่อถือเพื่อระดมเงิน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาภายในปี 2035 เพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ”
เพื่อให้บรรลุความทะเยอทะยานนี้ในการประชุม COP 30 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจำนวน 35 คนได้มีข้อเสนอเพื่อเพิ่มขอบเขตของการเงินด้านสภาพอากาศเป็น 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยในรายงานนี้ บรรดารัฐมนตรีที่นำโดยบราซิลได้เสนอการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ เช่น การจัดอันดับเครดิต อัตราดอกเบี้ยการประกันภัย และการให้สิทธิพิเศษด้านการกู้เงินของธนาคารพัฒนาเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นาย อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ (REUTERS/Chalinee Thirasupa) |
คำถามจากนโยบายของสหรัฐ
การเปลี่ยนแปลงนโยบายในบางประเทศยังก่อให้เกิดความกังวลต่อความพยายามระดับโลกในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2015 และวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประชาคมโลกในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายครั้ง สำหรับนโยบายภายในประเทศ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังได้ปรับลดนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมสีเขียวในสหรัฐ
บรรดาผู้สังเกตการณ์ระบุว่า การที่สหรัฐถอนตัวจากพันธกรณีในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบในทางลบต่อความพยายามของโลก เนื่องจากสหรัฐเป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม NDC ของประเทศอื่นๆ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านพลังงานขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ เดวิด เจ. เฮย์ส จาก The Stanford Doerr School of Sustainability ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐกำลังขาดแคลนไฟฟ้าสำหรับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือ AI หรือการสร้างศูนย์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ดังนั้น ในระยะยาว เครือบริษัทต่างๆ ในสหรัฐจะยังคงต้องส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีราคาถูกลงและน่าเชื่อถือได้มากกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ดังนั้น นโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของทางการประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะมีผลกระทบ แต่ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในยุคปัจจุบันได้
สัญญาณในเชิงบวกอีกประเด็นหนึ่งคือ เศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ยังคงรักษาพันธกรณีในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สหภาพยุโรปหรืออียูได้เห็นพ้องกับเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงร้อยละ 90 ภายในปี 2040 ซึ่งเร็วกว่าแผนการที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกัน จีนซึ่งเป็นประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดและเป็นเศรษฐกิจรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกก็ได้ให้คำมั่นที่จะดำเนินยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปในแผนการ 5 ปีที่เพิ่งประกาศ ดังนั้น แม้ว่าแผนการกำจัดเชื้อเพลิงฟอสซิลที่กำหนดไว้ตั้งแต่การประชุม COP 28 ณ ดูไบเมื่อปี 2023 จะยังไม่ได้รับการแปรให้เป็นการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม แต่พลังงานหมุนเวียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ ตามข้อมูลจาก Ember ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาระดับโลกระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พลังงานหมุนเวียนได้แซงหน้าถ่านหินเป็นครั้งแรก และกลายเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าอันดับ 1 ของโลก.
Quang Dung