วัดโกนเซินหรือชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่าวัดฮูนตั้งอยู่ใต้เชิงเขาโกนเซินมีชื่อเป็นภาษาเขียนว่า “เทียนตือฟุกตึก” ซึ่งหมายถึงวัดที่ได้รับการประทานพรจากเบื้องบน วัดโกนเซินได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่10และได้รับการขยายให้โอ่โถงสวยงามยิ่งใหญ่มากขึ้นในสมัยราชวงศ์เจิ่นช่วงศตวรรษที่13 ออกแบบก่อสร้างตามลักษณะของตัวอักษร กุง ในภาษาจีน โดยมีพระอุโบสถ กุฏิสงฆ์ ศาลา เตี่ยนเดื่อง ศาลาเทียนเฮืองและพระวิหาร พระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสูง3เมตร ด้านหลังพระอุโบสถเป็นพระวิหารที่ประดิษฐานรูปปั้นของศาสดาผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายจุกเลิมเวียดนาม3องค์ พร้อมรูปปั้นของด๋ายตือโด่เจิ่นเงวียนด๊าน  วีรชนแห่งชาติและนักวัฒนธรรมโลกเหงวียนจ๋าย

วัดโกนเซินมีสถาปัตยกรรมของพระราชวังโดยด้านหน้าเป็นสระครึ่งเสี้ยวจันทร์ มีประตูตามกวาน ทางเข้าปูอิฐสีแดงสองข้างทางคือทิวต้นสนร้อยปีที่ร่มรื่นแซมด้วยต้นลิ้นจี่ที่เขียวขจี ซุ้มประตูวัดมีสามช่อง สองชั้นและหลังคา8ชั้นพร้อมลวดลายใบไม้ดอกไม้ ปุยเมฆตามรูปแบบศิลปะในสมัยราชวงศ์เล ส่วนรูปแกะสลักต่างๆในวัดโกนเซินสะท้อนภาพลักษณ์ของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์4ตัวคือ มังกร กิเลน หงส์ เต่า และต้นไม้มงคล4ชนิดได้แก่ ไผ่ สน เบญจมาสและเหมย นอกจากนั้นที่หลังคาวัดยังมีการแกะสลักสัตว์ชนิดต่างๆเช่นปู ปลาและกวางโดยสัตว์ทุกตัวต้องหันหน้าเข้าพระอุโบสถอันเป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่มีชีวิตในโลกต่างมีความเสมอภาคกันต่อพระพุทธเจ้า นายเลยวีแหมง รองหัวหน้าคณะบริหารเขตโบราณสถานโกนเซินกี๊ยบบากเผยว่า“ปัจจุบันนี้ ในวัดโกนเซินยังคงเก็บรักษาโบราณวัตถุที่มีค่าทางประวัติศาสตร์รวมทั้งระบบศิลาจารึกที่มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่13-18 โดยเฉพาะศิลา4แท่นที่ตั้งด้านหลังวัดซึ่งในนั้นมีศิลาชื่อ แทงฮือด๋ง ซึ่งบันทึกพระราชหัตถเลขาของเกษตริย์เจิ่นเยวะตงที่พระราชทานให้ด๋ายตือโด่เจิ่นเงวียนด๊าน โดยศิลาแท่นนี้มีคุณค่าพิเศษทั้งด้านศิลปะ วัฒนธรรมและศาสนา ช่วยให้เราได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาของวัดแห่งนี้อย่างสมบูรณ์ โดยศิลาแทงฮือด๋งได้รับการรับรองเป็นสมบัติแห่งชาติเมื่อปี2015จากนายกฯ”

จากคุณค่าอันหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมและศาสนา วัดโกนเซินจึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก นางเลถิเกวียน นักท่องเที่ยวจากฮานอยเผยว่า“เราจัดทัวร์ไปเที่ยวโกนเซินเกี๊ยบบากทุกปี ซึ่งนอกจากได้ปล่อยภวังค์อยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบ ช่วยให้จิตใจมีความสบายปราศจากความวุ่นวายของชีวิตแล้วเรายังได้พาเด็กๆมาที่นี่เพื่อให้พวกเขามีโอกาสศึกษาและเข้าใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาติ”