การเปิดหน้าใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี

(VOVworld) – หลังการเจรจามาเป็นเวลา 43 ชั่วโมง เช้าตรู่วันที่ 25 เดือนนี้ สองภาคเกาหลีได้บรรลุข้อตกลงเพื่อปลดชนวนความตึงเครียดที่เกือบนำสองประเทศนี้เข้าสู่ภาวะสงคราม ซึ่งถือเป็นการเปิดหน้าใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี

(VOVworld) – หลังการเจรจามาเป็นเวลา 43 ชั่วโมง เช้าตรู่วันที่ 25 เดือนนี้ สองภาคเกาหลีได้บรรลุข้อตกลงเพื่อปลดชนวนความตึงเครียดที่เกือบนำสองประเทศนี้เข้าสู่ภาวะสงคราม ซึ่งถือเป็นการเปิดหน้าใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี

การเปิดหน้าใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี - ảnh 1
การเจรจาระหว่างสองภาคเกาหลีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม
(Photo Reuters)

ตามข้อตกลง สาธารณรัฐเกาหลีและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้เห็นพ้องกันว่า จะจัดการสนทนารัฐบาลผสมที่กรุงโซลหรือที่กรุงเปียงยางในเร็วๆนี้เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์และทำการเจรจาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆต่อไป ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า จะจัดงานรวมญาติในเทศกาลไหว้พระจันทน์โดยจะเริ่มเป็นครั้งแรกในปีนี้  พร้อมทั้งจัดการประชุมระหว่างสภากาชาดของทั้งสองฝ่ายในเดือนกันยายนนี้เพื่อเตรียมพร้อมให้แก่กิจกรรมการรวมญาติดังกล่าว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องกันที่จะขยายการพบปะแลกเปลี่ยนด้านต่างๆในระดับประชาชนอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจในข้อตกลงฉบับนี้และก็เป็นเนื้อหาหลักเพื่อปลดชนวนความตึงเครียดคือ การที่เปียงยางแสดงความเสียใจต่อการที่ทหารสาธารณรัฐเกาหลีได้รับบาดเจ็บจากเหตุวางระเบิดในเขตปลอดทหาร DMZ ในฝั่งของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีเมื่อเร็วๆนี้ ส่วนสาธารณรัฐเกาหลีได้ยืนยันว่า จะยุติการประชาสัมพันธ์ต่อต้านเปียงยางผ่านลำโพงขยายเสียงในเขตชายแดนนับตั้งแต่เวลา 0 น.ของวันที่ 25 สิงหาคม ส่วนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีตกลงที่จะยกเลิกคำสั่งให้ทหารตั้งอยู่ในภาวะพร้อมรบ ซึ่งประชามติโลกได้ชื่นชมข้อตกลงดังกล่าว
สัญญาณที่น่ายินดีจากการเจรจา
ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการยุติการเจรจาเป็นเวลา 43 ชั่วโมงและยกเลิกคำสั่งให้ทหารตั้งอยู่ในภาวะพร้อมรบของทั้งสองฝ่าย การที่ฝ่ายกรุงโซลและเปียงยาง “จับมือกัน” ได้ทำให้เกิดความหวังว่า ความตึงเครียดทางทหารบนคาบสมุทรเกาหลีจะยุติเป็นการชั่วคราว
บรรดานักวิเคราะห์เผยว่า ในเวลาที่ผ่านมา ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลียังคงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ดึงดูดความสนใจของผู้สังเกตการณ์ทุกคน ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นผลพวงจากท่าทีของนโยบายใหม่ “หน้าปากหลุมสงคราม” ที่เปียงยางใช้อยู่เสมอเพื่อคัดค้านการซ้อมรบร่วมประจำปีระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐเกาหลี การยิงปืนใหญ่ระหว่างสองฝ่ายและการที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีผลักดันการปรากฎตัวทางทหารในบริเวณที่ติดกับชายแดนของสาธารณรัฐเกาหลีได้สร้างความกังวลต่อบรรดานักวิเคราะห์ แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่สองภาคเกาหลีได้นั่งเจรจากันอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางปลดชนวนสงครามคือสัญญาณที่น่ายินดี ถึงแม้วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ตึงเครียดเหมือนเมื่อปี 2013 เมื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีทดลองยิงขีปนาวุธพิสัยไกลและทำการทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 3 จนถูกสหประชาชาติคว่ำบาตร จากการปฏิบัตินโยบาย “หน้าปากหลุมสงคราม” ได้แสดงให้เห็นว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีไม่อยากทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงถึงขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่อยากใช้ปฏิบัติการยั่วยุเพื่อกดดันให้สาธารณรัฐเกาหลีเข้าร่วมการเจรจาเท่านั้น
การเปิดหน้าใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี - ảnh 2
ทหารสาธารณรัฐเกาหลีในเขต DMZ (Photo Reuters)
ทำลายความเย็นชาที่ยึดเยื้อมานาน
ข้อตกลงระหว่างสองภาคเกาหลีได้รับคำชื่นชมจากประชามติโลก ซึ่งไม่เพียงแต่คลี่คลายความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีเท่านั้น หากยังเปิดโอกาสปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลีอีกด้วย
ซึ่งก่อนอื่น ข้อตกลงฉบับนี้มีเนื้อหาหลักที่ทั้งสองฝ่ายปรารถนา นั่นคือ มีความเห็นพ้องกันที่จะจัดการสนทนาและการเจรจาเพื่อมุ่งสู่การจัดการเจรจาระดับสูงระหว่างสองรัฐบาล นับตั้งแต่การเจรจาระดับสูงครั้งแรกที่มีขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 เราไม่สามารถปฏิเสธเจตนาที่ดีของทั้งสองฝ่ายได้ โดยเฉพาะในการพยายามลดความขัดแย้งกันของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ในการเจรจาครั้งนี้ การที่เปียงยางได้แสดงความเสียใจเกี่ยวกับเหตุลอบวางระเบิดนั้นเป็นท่าทีเกิดขึ้นไม่บ่อยนักของเปียงยางในหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเป็นคำพูดตามมารยาทแต่มีความหมายพิเศษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาดีของทั้งสองฝ่ายในความพยายามยุติการเผชิญหน้า มุ่งสู่การจัดตั้งกรอบใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลี ผู้สังเกตการณ์ยังเห็นว่า ในความเป็นจริง การพบปะระหว่างสองภาคเกาหลีเมื่อเร็วๆนี้ถือเป็นการพบปะสุดยอดอย่างไม่เป็นทางการระหว่างผู้นำสองประเทศ เพราะว่า หัวหน้าของคณะเจรจาสองประเทศล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดของประธานาธิบดีปาร์ค กึน เฮและผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีคิม จอง อุน ซึ่งถือเป็นผู้ที่สามารถถ่ายทอดความประสงค์ของผู้นำสองประเทศได้อย่างชัดเจนที่สุด
ความหวังเกี่ยวกับข้อตกลงแห่งสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
แต่อย่างไรก็ตาม นอกจากความคิดเห็นที่เต็มไปด้วยความหวังแล้วยังมีนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาหลักได้ ข้อตกลงฉบับดังกล่าวถือเป็นก้าวพัฒนาแต่ปัญหาหลักคือโครงการนิวเคลียร์ของเปียงยางยังไม่ได้รับการหารือ หลังสงครามระหว่างสองภาคเกาหลีที่เกิดขึ้นในระหว่างปี 1950 – 1953 สองภาคเกาหลียังคงอยู่ในภาวะสงครามเพราะทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ลงนามข้อตกลงหยุดยิงเท่านั้น ไม่ใช่ข้อตกลงสันติภาพ ในหลายปีที่ผ่านมา ความอลวนของการยั่วยุและคำสั่งลงโทษที่เกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลียังเป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองภาคเกาหลีให้เป็นปกติ ข้อตกลงดังกล่าวได้สร้างความหวังอีกครั้งให้แก่ประชามติที่จะได้เห็นสองภาคเกาหลีจะสร้างความไว้วางใจต่อกันจากการเจรจารอบใหม่ในเวลาข้างหน้า จากนั้นอาจจะไปสู่การลงนามข้อตกลงสันติภาพและเอกภาพแทนข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด