สถานประกอบการขายปลีกเวียดนามพยายามปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์เพื่อผสมผสานและพัฒนา

(VOVworld) – ตามคำมั่นที่เวียดนามให้ไว้เมื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก ตั้งแต่วันที่๑๑มกราคมปี๒๐๑๕ บรรดาผู้ขายปลีกต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสถานประกอบการที่มีเงินทุน๑๐๐%ในเวียดนามแทนอัตราร้อยละ๕๐ในปัจจุบันและสถานประกอบการขายปลีกเวียดนามจะต้องแข่งขันอย่างเสมอภาคกับสถานประกอบการขายปลีกต่างชาติในตลาดภายในประเทศ 

(VOVworld) – ตามคำมั่นที่เวียดนามให้ไว้เมื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก ตั้งแต่วันที่๑๑มกราคมปี๒๐๑๕ บรรดาผู้ขายปลีกต่างชาติจะได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสถานประกอบการที่มีเงินทุน๑๐๐%ในเวียดนามแทนอัตราร้อยละ๕๐ในปัจจุบันและสถานประกอบการขายปลีกเวียดนามจะต้องแข่งขันอย่างเสมอภาคกับสถานประกอบการขายปลีกต่างชาติในตลาดภายในประเทศ ดังนั้นบรรดาสถานประกอบการต้องปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพื่อสามารถประสบความสำเร็จในตลาดภายในประเทศ

สถานประกอบการขายปลีกเวียดนามพยายามปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์เพื่อผสมผสานและพัฒนา - ảnh 1
ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ซุปเปอร์มาเก็ตล็อตเตมาร์ท(Photo: Nhandan)

จนถึงสิ้นปี๒๐๑๓ มีสถานประกอบการและเครือบริษัทขายปลีกต่างชาติในเวียดนามร้อยละ๔๐จากจำนวนซุปเปอร์มาเก็ต๗๐๐แห่งและมีศูนย์การค้าที่ร่วมมือกับผู้ขายปลีกต่างชาติ๓๑แห่งจากทั้งหมด๑๒๕แห่งซึ่งแสดงให้เห็นว่า จากจำนวนประชากร๙๐ล้านคน เวียดนามยังคงเป็นตลาดที่ดึงดูดใจต่อผู้ขายปลีกต่างชาติและได้มีการพยากรณ์ว่า ปี๒๐๑๔ มูลค่าการขายปลีกในเวียดนามอาจเพิ่มขึ้นร้อยละ๒๓ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดขายปลีกเวียดนามยังมีโอกาสมากมายเพราะผู้บริโภคเวียดนามมีแนวโน้มเปลี่ยนจากการไปซื้อของที่ตลาดสดมาเป็นการซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตและร้านค้าที่ทันสมัยแทน ปัจจุบันมีผู้ขายปลีกต่างชาติจำนวนมาก เช่น เครือบริษัทขายปลีกบิ๊กซี เมโทร ล็อตเตมาร์ท ทากาชิมายะ อินเด็กซ์ ลีฟวิงมอลล์กำลังขยายการลงทุนในเวียดนนามซึ่งสร้างความท้าทายอันยิ่งใหญ่ให้แก่สถานประกอบการขายปลีกภายในประเทศ นายฝ่ามห่าดง ผู้อำนวยการบริษัทหุ้นส่วนอินตีเม็กเวียดนามเผยว่า  ในแผนปรับปรุงโครงสร้าง บรรดาสถานประกอบการเวียดนามจะเน้นซุปเปอร์มาเก็ตที่มีพื้นที่เหมาะสมและเปิดร้านสะดวกซื้อ อย่างไรก็ดี สถานประกอบการขายปลีกภายในประเทศต้องการความช่วยเหลือจากรัฐทั้งระเบียบการและนโยบายใหม่ที่สอดคล้องเพื่อสามารถแข่งขันกับผู้ขายปลีกต่างชาติและสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดภายในประเทศได้อย่างมั่นคง“ถ้าค่าเช่าที่ดินเพิ่มขึ้น๓ถึง๕เท่าเมื่อเทียบกับค่าเช่าเดิม ต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้สถานประกอบการประสบอุปสรรค ดังนั้น รัฐควรพิจารณาช่วยเหลือด้านค่าเช่าที่ดินหรือเช่าสถานที่เพื่อให้สถานประกอบการภายในประเทศสามารถแข่งขันกับสถานประกอบการต่างชาติได้ โดยเฉพาะสถานประกอบการภายในประเทศกำลังถูกแรงกดดันจากเครือบริษัทขายปลีกต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้นในปีนี้และปี๒๐๑๕

ดร.เหงวียนดิ่งกูง หัวหน้าสถาบันวิจัยบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางกล่าวว่า เพื่อสร้างกรอบทางนิตินัยให้การขายปลีกพัฒนาอย่างยั่งยืน รัฐควรร่างกฎหมายขยายปลีก แก้ไขและเพิ่มเติมกฎหมายการแข่งขันเกี่ยวกับปัญหาการค้าและการปรับราคา นอกจากนี้ควรวางแผนพัฒนาเครือข่ายขายปลีกทั่วประเทศ ฝึกอบรมแหล่งบุคลากร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการขายปลีก เช่น การคมนาคม  ศูนย์ติดต่อซื้อขาย ระบบคลังสินค้า ศูนย์รับซื้อสินค้า ลดรายจ่ายที่ต้องเสียให้กับพ่อค้าคนกลาง พร้อมทั้งมีความร่วมมือระหว่างเขต สถานประกอบการ ความร่วมมือในการผลิตและต้องสร้างพลังที่เข้มแข็งในทุกด้านในการจำหน่ายสินค้าจึงสามารถแข่งขันกับผู้ขายปลีกอาชีพต่างชาติได้ ดร.เหงวียนนิ่งกูงกล่าวว่า“แรงกดดันจากการแข่งขันไม่เพียงแต่มีต่อสถานประกอบการขายปลีกเท่านั้นหากยังมีต่อสถานประกอบการเวียดนามทุกแห่ง ดังนั้น ต้องช่วยให้สถานประกอบการเวียดนาม รวมทั้งสถานประกอบการขายปลีกมีความเข้มแข็งมากขึ้น  ถ้าถือธุรกิจเป็นสมรภูมิ นักธุรกิจเป็นนักรบ รัฐก็เป็นแนวหลังที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง”

จากการพยากรณ์ว่า จนถึงปี๒๐๒๐ ทั่วประเทศจะมีซุปเปอร์มาเก็ต๑,๒๐๐ถึง๑,๓๐๐แห่งและ ศูนย์การค้า๑๘๐แห่ง อัตราส่วนขายปลีกผ่านระบบซุปเปอร์มาเก็ตและศูนย์การค้าจะคิดเป็นร้อยละ๔๕ของยอดขายปลีกทั้งหมด แม้ศักยภาพพัฒนาของตลาดขายปลีกเวียดนามจะสูงมากแต่จากข้อจำกัดที่มีอยู่สถานประกอบการขายปลีกภายในประเทศจะต้องแข่งขันอย่างดุเดือดกับสถานประกอบการขายปลีกต่างชาติในตลาดภายในประเทศ นายหวูวิงฟู้ ประธานสมาพันธ์ซุปเปอร์มาเก็ตฮานอยกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่สถานประกอบการขายปลีกภายในประเทศจะต้องปรับปรุงยุทธศาสตร์ธุรกิจให้สอดคล้องเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มส่วนแบ่งตลาด สิ่งที่สำคัญคือ สถานประกอบการเวียดนามต้องเข้าใจข้อบกพร่องของตนเพื่อมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสม“ต่อแรงกดดันในการแข่งขันเพื่อครองตลาดขายปลีกที่นับวันยิ่งมีความดุเดือด เพราะในขณะที่เครือบริษัทต่างชาติมีความได้เปรียบด้านเงินทุน ทักษะในการบริหาร แผนธุรกิจ เครื่องหมายการค้าและระบบรับซื้อและจำหน่ายทั่วโลกแต่สถานประกอบการเวียดนามยังไม่มียุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมขายปลีกทั้งใน๓ระดับคือรัฐ หน่วยงานและสถานประกอบ การ นอกจากนี้ สถานประกอบการเวียดนามยังขาดเงินทุน และแหล่งบุคลากรที่ยังไม่ผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบคิดเป็นร้อยละ๕๐ถึงร้อยละ๖๐ ระบบซุปเปอร์มาเก็ตขายปลีกยังไม่มีความเป็นมืออาชีพ สถานประกอบการเวียดนามยังไม่มีความเชื่อมโยงเพื่อกลายเป็นชมรมนักธุรกิจที่เข้มแข็งเพื่อร่วมกันพัฒนาและสามารถแข่งขันกับสถานประกอบการต่างชาติได้ ด้วยเหตุนี้ สถานประกอบการภายในประเทศต้องแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อสามารถแข่งขันกับสถานประกอบการต่างชาติ”

แม้จะมีความได้เปรียบคืออยู่ในตลาดภายในประเทศแต่ถ้าบรรดาสถานประกอบการเวียดนามไม่มีการปรับปรุงและร่วมมือกันโดยเร็ว ระบบจำหน่ายภายในประเทศก็จะมีความอ่อนแอซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ บริษัทต่างชาติมีศักยภาพสูงและมีความเป็นมืออาชีพมากกว่าสถานประกอบการภายในประเทศ ดังนั้น ถ้าอยากแข่งขัน ก่อนอื่นสถานประกอบการเวียดนามต้องปรับปรุงแนวคิดที่ตระหนักถึงการประสานผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนกับสถานประกอบการอื่นๆจึงจะมียุทธศาสตร์ร่วมมือทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้ นอกจากนี้ สถานประกอบการภายในประเทศก็ต้องเรียนรู้และศึกษารูปแบบการพัฒนาของสถานประกอบการต่างประเทศที่กำลังประกอบธุรกิจในเวียดนามเพื่อแสวงหาแนวทางใหม่ให้แก่ตนเอง./.

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด