6 เดือนภายหลังการปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

(VOVWORLD) - เมื่อวันที่ 7 เมษายน ครบรอบ 6 เดือนการปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ความพยายามแสวงหามาตรการทางการทูตเพื่อยุติการปะทะได้ตกเข้าสู่ภาวะชะงักงัน
6 เดือนภายหลังการปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส - ảnh 1การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในเมือง Deir el-Balah ฉนวนกาซาเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2024 (THX)

 

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว กองทัพอิสราเอลได้ทำการโจมตีฉนวนกาซาเพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสใส่ดินแดนของอิสราเอล ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปะทะที่รุนแรงที่สุดในตะวันออกกลางในรอบหลายปีที่ผ่านมา

วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรง

ภายหลัง 6 เดือนที่เกิดการปะทะ ความเสียหายทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินในฉนวนกาซาได้สูงถึงระดับที่ประชาคมระหว่างประเทศประเมินว่าเป็นเรื่อง “ไม่สามารถยอมรับได้” รายงานสถิติที่เผยแพร่โดยสหประชาชาติและสำนักงานสาธารณสุขปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาระบุว่า จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ชาวปาเลสไตน์เกือบ 33,000 คนได้เสียชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะ ตามรายงานของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือ UNICEF เด็กกว่า 13,000 คนได้เสียชีวิตจากการปะทะในฉนวนกาซาในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าการปะทะอื่นๆ ทั้งหมดทั่วโลกในทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 75,000 คนและประชาชนกว่า1.9 ล้านคนซึ่งคิดเป็นร้อยละ 85 จากจำนวนทั้งหมด 2.3 ล้านคน ในฉนวนกาซาต้องละทิ้งบ้านเรือนเพื่ออพยพ ในขณะที่ฝ่ายอิสราเอลก็สูญเสีย ทหารและประชาชนหลายพันคนเช่นกัน ส่วนตัวประกันหลายร้อยคนยังคงถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไว้

นอกจากความเสียหายด้านชีวิตแล้วโครงสร้างพื้นฐานในฉนวนกาซาก็ถูกทำลายอย่างหนักเช่นกัน โดยตามรายงานที่สหประชาชาติและธนาคารโลกหรือ WB ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่อยู่อาศัยร้อยละ 62 ในฉนวนกาซาถูกทำลาย ซึ่งทำให้ประชาชนกว่า 1 ล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขร้อยละ 84 ได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ระบบการศึกษาในฉนวนกาซาล่มสลายอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่โรงเรียน 56 แห่งถูกทำลายและอีก 219 แห่งได้รับความเสียหาย ทำให้นักเรียนประมาณ 625,000 คนในฉนวนกาซาไม่สามารถไปโรงเรียน  ซึ่งธนาคารโลกประเมินว่า ความเสียหายทางโครงสร้างพื้นฐานในฉนวนกาซาคิดเป็นมูลค่า 1 หมื่น 8 พัน 5 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ คือประมาณร้อยละ 97 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ของฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ในปี 2022 และปัญหาการขาดบริการสาธารณะอย่างรุนแรงทั้งด้านสาธารณสุข น้ำสะอาดและอาหาร ได้ทำให้ประชาชนนับล้านคนในฉนวนกาซาประสบความทุกข์ยาก นาย เจเรมี ลอเรนซ์ โฆษกสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหรือ OHCHR ได้แสดงความเห็นว่า

“สถานการณ์ในปัจจุบันสร้างความสะเทือนใจจริง ๆ แต่เราสามารถป้องกันได้และต้องยุติให้ได้ ดั่งเช่นที่เราได้กล่าวไปแล้ว สิ่งที่ประชาชนในฉนวนกาซาต้องเผชิญนั้นคือการจบสิ้นของมโนธรรม”

ในขณะเดียวกัน ความพยายามในการขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ยังคงประสบกับความยากลำบากมากมายเนื่องจากความรุนแรงของการปะทะ ตลอดจนการขัดขวางจากหลายฝ่าย ตามรายงานของโครงการอาหารแห่งสหประชาชาติหรือ WFP ปริมาณอาหารที่ขนส่งไปยังฉนวนกาซาสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้เพียงประมาณร้อยละ 20  เท่านั้น และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือและพนักงานขององค์กรระหว่างประเทศก็ตกเป็นเหยื่อของการปะทะเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกว่า 190 คนได้เสียชีวิตในฉนวนกาซาในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 เมษายน พนักงาน 7 คนขององค์กรบรรเทาทุกข์ เวิลด์ เซ็นทรัล คิทเชน หรือ WCK ได้เสียชีวิตในการโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอล นาย สเตฟาน ดูจาร์ริก โฆษกของสหประชาชาติได้เผยว่า

“ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่อันตรายในทุกเวลา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ WCK เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องเผชิญทุกวันในฉนวนกาซา”

การหยุดชะงักของกระบวนการทางการทูต

ท่ามกลางสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาที่ย่ำแย่ลงทุกวัน ความพยายามทางการทูตของประชาคมระหว่างประเทศในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสก็ยังคงได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จก็ตาม อย่างเช่นการเจรจารอบล่าสุดที่ได้รับการสนับสนุนจากกาตาร์ อียิปต์และสหรัฐที่เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 3 เมษายน ณ กรุงไคโร ก็ไม่บรรลุความคืบหน้าใดๆ ส่วนในระดับโลก ประเทศต่างๆ ยังคงไม่มีความเห็นพ้องกันเกี่ยวกับการปะทะในฉนวนกาซา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นชัดเจนที่สุดในสหประชาชาติเพราะต้องใช้เวลาเกือบ 6 เดือนและต้องประสบความล้มเหลวหลายครั้ง กว่าที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะสามารถอนุมัติมติฉบับแรกเมื่อวันที่ 25 มีนาคม โดยเรียกร้องให้หยุดยิงในฉนวนกาซาทันที แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างแรงกดดันเพื่อให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามมติฉบับนี้ยังคงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่

6 เดือนภายหลังการปะทะระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส - ảnh 2 โฆษกองค์การสหประชาชาติ สเตฟาน ดูจาร์ริก (IRNA)

ตามความเห็นของบรรดาผู้สังเกตการณ์ ถึงแม้ว่า คำสั่งหยุดยิงในระยะยาว บวกกับการปล่อยตัวประกันทันทีนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในเวลาอันสั้น แต่แรงกดดันในปัจจุบันสามารถช่วยปรับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาได้ โดยเฉพาะ การที่ทางการสหรัฐเริ่มแข็งกร้าวกับอิสราเอลก็อาจทำให้อิสราเอลต้องยอมรับการประนีประนอม เมื่อวันที่ 4 เมษายน นาย แอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐได้ออกคำเตือนที่ชัดเจนถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ว่า

“สำหรับนโยบายของเราในฉนวนกาซา ผมอยากย้ำว่า ถ้าเราไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ เราจะปรับนโยบายของเรา”

ในขณะเดียวกัน นอกจากการหยุดชะงักทางการทูตแล้ว ความเสี่ยงที่การปะทะจะทวีความรุนแรงและบานปลายยังคงมีอยู่ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว กองกำลังฮูธิในเยเมนได้ทำการโจมตีเรือทหารของฝ่ายตะวันตกและเรือพาณิชย์ในทะเลแดงเพื่อตอบโต้ยุทธนาการทางทหารของอิสราเอล จนการขนส่งสินค้าประสบอุปสรรคก ที่เขตชายแดนระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน การปะทะระหว่างกองทัพอิสราเอลกับกองกำลังฮิซบอลเลาะห์ยังคงเกิดขึ้นต่อไป ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลใส่เป้าหมายต่างๆของอิหร่านในซีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้ทำให้ความเสี่ยงในการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านซึ่งเป็นสองประเทศมหาอำนาจทางทหารในตะวันออกกลางอาจปะทุขึ้นจริงมากขึ้น.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด