(VOVWORLD) - ประเทศไทยและเวียดนามสามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ สามารถพัฒนาโอกาสของแต่ละประเทศร่วมกัน
ท่าน ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของวีโอวี5 |
เมื่อปี๒๐๑๙ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับไทยได้รับการผลักดันและขยายในหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ไปจนถึงการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน ตั้งแต่ระดับส่วนกลางถึงระดับท้องถิ่น ผลงานความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับไทยที่โดดเด่นในปี 2019 คือทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องยกระดับความสัมพันธ์จากความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ขึ้นเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็งในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - เวียดนาม (Joint Commission on Bilateral Cooperation - JCBC) ครั้งที่ 3 ณ กรุงเทพฯ เมื่อเดือนมกราคมปี 2019 ในรายการของเราวันนี้ ผู้จัดทำรายการของสถานีวิทยุเวียดนามขอสรุปผลงานที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่โดดเด่น ตลอดจนการกำหนดแนวทางผลักดันความสัมพันธ์เวียดนาม-ไทยผ่านมุมมองของท่าน ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย
“ปี ๒๐๑๙ ประเทศไทยและเวียดนามได้ยกระดับความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่เข้มแข็ง หมายความว่า เราจะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เราสามารถเป็นประเทศพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ สามารถพัฒนาโอกาสของแต่ละประเทศร่วมกัน ผมคิดว่า นอกจากเรื่องการยกระดับความสัมพันธ์แล้ว เนื้อในของความสัมพันธ์ เราสามารถพัฒนาความร่วมมือด้านการเงินและธนาคารได้มากขึ้น ทางเวียดนามก็ได้ออกฎหมายเพื่อส่งเสริม รับรองการเข้ามามีการลงทุนด้านการเงิน ธนาคารในเวียดนามได้มากขึ้น นอกจากนี้ เรื่องของความเชื่อมโยงระหว่างเวียดนามกับไทยและประเทศในภูมิภาคก็สามารถพัฒนาได้เพิ่มมากขึ้น”
ท่าน ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย |
ความสัมพันธ์ด้านการเมืองที่ดีงามได้รับการธำรงผ่านการเยือนระหว่างกันของผู้นำทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นพื้นฐานเพื่อผลักดันความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจให้พัฒนาที่เข้มแข็งมากขึ้น ขณะนี้ ไทยเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่อันดับ 1 ของเวียดนามในอาเซียน ทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องกันว่า จะเพิ่มมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 และมุ่งสู่การสร้างสมดุลด้านการค้าที่ยั่งยืนมากขึ้น
“ผมคิดว่า ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจค่อนข้างหนักแน่น ทางด้านการเมืองเรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างท่านนายกรัฐมนตรี เหงียนซวนฟุกกับท่านนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทรโอชา ก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเวียดนาม คนไทยสนใจมาลงทุนเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ไทยลงทุนในเวียดนาม ๑๐.๘ พันล้านเหรียญสหรัฐ ก็จะมีการมาลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ไม่รวมการควบรวมกิจการ ไม่รวมถึงเม็ดการลงทุนที่อาจจะมาจากบริษัทไทยที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ”
ท่านเอกอัครราชทูตประเมินว่า เมื่อปี 2019 ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อเชื่อมโยงการค้าและการลงทุน ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากนักลงทุน ผู้ประกอบการและประชาชนทั้งสองประเทศ เช่นการประชุมส่งเสริมการค้าไทย-เวียดนามและนานาชาติ ณ จังหวัดอุดรธานี การประชุมคณะผู้บริหารระดับสูง 3 ประเทศ 9 จังหวัด (ไทย-ลาว-เวียดนาม) ที่ใช้เส้นทางหมายเลข 8 และ 12 ครั้งที่ 22 ณ จังหวัดฮาติงห์ ประเทศเวียดนาม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงสถานประกอบการเวียดนาม สถานประกอบการไทย รวมทั้งสถานประกอบการของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามและสถานประกอบการต่างๆในโลกเพื่อสร้างโอกาสการแลกเปลี่ยนการค้า ความร่วมมือส่งเสริมการลงทุน การค้าและแนะนำบรรยากาศการลงทุนและประกอบธุรกิจในเวียดนาม
นอกจากเส้นทางขนส่งทางบกและทางทะเล เมื่อปี 2019 ยังมีการเปิดเส้นทางบินตรงที่เชื่อมท้องถิ่นต่างๆของทั้งสองประเทศ เช่นกรุงฮานอย-เชียงใหม่ ดานัง-เชียงราย กามแรง จังหวัดแค๊งหว่า-กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งมีส่วนร่วมผลักดันการพบปะสังสรรค์และการเชื่อมโยงประชาชนทั้งสองประเทศ จำนวนประชาชนไทยและเวียดนามที่เดินทางมาเยือนระหว่างกันเพิ่มสูงขึ้น โดยเมื่อปี 2019 มีคนเวียดนามไปเที่ยวเมืองไทยกว่า 1 ล้านคน และในปีนี้ จะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ชาวไทยมาเที่ยวเวียดนามเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 สำหรับด้านวัฒนธรรม การศึกษาและฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนระดับประชาชนนับวันได้รับการเสริมสร้างและกระชับให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
“ผมคิดว่า เรามีความร่วมมือที่ใกล้ชิด แล้วก็มีโครงการที่ดำเนินการมา ๑๑ ปีแล้วคือโครงการเพื่อนมิตรไทย เวียดนามที่เราส่งเสริมให้เยาวชนแต่ละฝ่ายไปศึกษา ไปเยี่ยมเยือนทำโครงการ ทำการรู้จักกันให้มากขึ้น เมื่อปีที่แล้ว นักศึกษาเวียดนามได้ไปเยี่ยมประเทศไทย พบปะ ทำความรู้จัก ทำกิจกรรมร่วมกับเยาวชนไทย ในปี ๒๐๒๐ เราจะเชิญนักศึกษามาทำกิจกรรมทำการรู้จักกับเวียดนาม ท่านสามารถมีคน Viet kieu อยู่ในประเทศไทยจำนวนหลายแสนคน โดยเฉพาะในภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอุดรธานี นครพนม อุบลราชธานี อีกหลายจังหวัด เป็นสายสัมพันธ์ที่เรามีกันอยู่มาช้านาน”
ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและนโยบายเพื่อผลักดันความสัมพันธ์เวียดนาม-ไทยในปี 2020 ท่าน ธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอยได้เผยว่า สถานทูตไทย ณ กรุงฮานอยจะเป็นสะพานเชื่อมสถานประกอบการและประชาชนทั้งสองประเทศ
“แน่นอนมีเรื่องของการสำรวจศักยภาพเศรษฐกิจของเวียดนามร่วมกับสำนักงานบีโอไอของสถานทูตไทย เรื่องการส่งเสริมการค้าร่วมกับสำนักงานพาณิชย์ สคต. ที่กรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ร่วมกับสถานกงสุลใหญ่ที่นครโฮจิมินห์ด้วย เรามีงาน Minic Thailand เรามีงาน Top Thai Brands เรามีอีกหลายกิจกรรมของสคต. นอกจากนี้ เราก็จะจัดงานเทศกาลการศึกษาในเดือนมีนาคมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา การส่งเสริมสถาบันการศึกษาไทยกับเวียดนาม การส่งเสริมธุรกิจของคนรุ่นใหม่ ธุรกิจสตาร์ทอัพ การส่งเสริมการเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆของเวียดนามเช่นที่กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์และไฮฟองกับหลายๆพื้นที่ในกรุงเทพฯ ผมอยากจะเชิญนักธุรกิจสตาร์ทอัพของเวียดนามได้ร่วมงานธุรกิจสตาร์ทอัพ Thailand โครงการแลกเปลี่ยนเยาวชน โดยในปีนี้จะมีเยาวชนไทยมาเวียดนามและมีโครงการผู้นำรุ่นใหม่เวียดนาม ซึ่งเป็นโครงการที่ทางสถานทูตเตรียมจะดำเนินการในปีนี้ นอกเหนือจากการจัดการประชุมอาเซียน 200-300 นัดการประชุมที่เราต้องเป็นฝ่ายจัดการเรื่องพิธีการเรื่องโลจิสติกทั้งหมดนอกจากเรื่องการประชุมครม.ไทย-เวียดนาม ”
ปี 2020 เวียดนามดำรงตำแหน่งสำคัญๆคือประธานอาเซียนและสมาชิกไม่ถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติวาระปี 2020-2021 ในขณะที่ต้องเผชิญกับทั้งโอกาสและความท้าทาย แต่ท่าน ธานี แรงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอยแสดงความหวังว่า ความสัมพันธ์เวียดนาม-ไทยจะพัฒนาอย่างเข้มแข็งและรอบด้านมากขึ้น.