แนวทางที่ถูกต้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาระดับโลก

(VOVWORLD) - ภายหลัง2 ปีของการเจรจาอย่างตึงเครียด เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ณ เมือง Marrakesh ประเทศโมร็อกโก อนุสัญญาว่าด้วยการอพยพย้ายถิ่นระหว่างประเทศของสหประชาชาติได้รับการอนุมัติจากตัวแทน 150 ประเทศอย่างเป็นทางการ แม้ยังคงมีการถกเถียงในหลายประเทศ โดยเฉพาะบางประเทศได้ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญาฉบับนี้แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า นี่คือปัญหาที่เกี่ยวข้องถึงทุกประเทศและเป็นทางเลือกเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาระดับโลก
แนวทางที่ถูกต้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาระดับโลก - ảnh 1การประชุมเกี่ยวกับการอพยพย้ายถิ่นของสหประชาชาติ ณ เมือง Marrakesh ประเทศโมร็อกโก (Photo AP)

อนุสัญญาว่าด้วยการอพยพย้ายถิ่นระหว่างประเทศมีชื่อเต็มคือ “ออนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการอพยพที่ปลอดภัย มีระเบียบและเป็นประจำ” ซึ่งได้รับการอนุมัติจาก 193 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ยกเว้นประเทศสหรัฐเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยกำหนด 23 เป้าหมายเพื่อค้ำประกันการอพยพที่ชอบด้วยกฎหมายและการบริหารกระแสผู้อพยพในสภาวการณ์ที่จำนวนผู้อพยพในโลกได้เพิ่มขึ้นถึง 250 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 3 ของประชากรโลก

ตามกำหนดการ หลังจากการให้สัตยบัน อนุสัญญาฉบับนี้จะถูกยื่นให้สมัชชาใหญ่สหประชาชาติลงคะแนนอนุมัติในวันที่ 19 ธันวาคม

จำเป็นที่ต้องมีอนุสัญญาฉบับนี้

ใน 10 ปีมานี้ กระแสผู้อพยพในทั่วโลกนับวันเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะกระแสผู้อพยพเข้ายุโรป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการอพยพเพื่อหนีสงครามและความอดอยากยากจนในตะวันออกกลางและแอฟริกา ตามข้อมูลสถิติของสหประชาชาติ นับตั้งแต่ปี 2000 มีผู้อพยพกว่า 6 หมื่นคนซึ่งส่วนใหญ่อพยพผ่านทางทะเลเสียชีวิตในขณะอพยพไปยังประเทศต่างๆ  แม้ขณะนี้ ผู้อพยพที่ใช้เส้นทางทะเลจะลดลงแต่ก็ยังสามารถเห็นผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของสหภาพยุโรปได้อย่างชัดเจน รวมทั้งผู้อพยพนับพันคนที่ยังคงติดค้างบริเวณเขตชายแดนของเม็กซิโกกับสหรัฐเพื่อแสวงหาโอกาสขออพยพเข้าประเทศสหรัฐ ส่งผลให้ผู้บริหารท้องถิ่นสหรัฐต้องตรึงทหารในเขตชายแดนและปฏิบัติมาตรการแก้ไขอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ได้แสดงให้เห็นว่า จำเป็นต้องแก้ไขปัญหานี้ในระดับโลก ซึ่งถึงเวลาแล้วที่บรรดาประเทศสมาชิกของสหประชาชาติต้องเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงว่าด้วยผู้อพยพย้ายถิ่นอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการอนุมัติอนุสัญญาฉบับนี้ถือเป็นกรอบทางนิตินัยให้แก่ความร่วมมือระหว่างประเทศในการบริหารผู้อพยพย้ายถิ่นทั่วโลก ส่วนสหประชาชาติได้ประเมินว่า เนื่องจากไม่มีข้อผูกมัดทางนิตินัยและมีข้อกำหนดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับอธิปไตยทำให้การปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับนี้เป็นการปฏิบัติตามความสมัครใจเท่านั้น บางคนให้ข้อสังเกตว่า อนุสัญญาฉบับนี้คือความสำเร็จด้านการทูตของสหประชาชาติเพราะทุกประเทศสมาชิก ยกเว้นสหรัฐได้เห็นพ้องเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

แนวทางที่ถูกต้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาระดับโลก - ảnh 2กระแสผู้อพยพ (Photo dw.com)

การถกเถียงเกี่ยวกับข้อผูกมัดทางนิตินัย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆนี้ ฮังการี ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ บัลแกเรียและออสเตรเลียได้ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญาฉบับนี้ตามสหรัฐ เพราะถือว่า อนุสัญญาฉบับนี้จะเปิดทางให้สหประชาชาติบังคับให้ประเทศสมาชิกต้องปฏิบัตินโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพของสหประชาชาติ ซึ่งไม่มีการแยกระหว่างผู้อพยพที่ชอบด้วยกฎหมายหรือละเมิดกฎหมาย โดยเฉพาะการถกเถียงเกี่ยวกับความหมายของผู้อพยพที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะในบางประเทศยุโรป ทางการท้องถิ่นกำหนดให้ผู้อพยพที่มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเป็นผู้อพยพที่ละเมิดกฎหมาย สร้างผลเสียหายและภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ควบคู่กันนั้น การอนุมัติอนุสัญญาฉบับนี้จะเปิดโอกาสให้พรรคประชานิยมและนักวางนโยบายผลักดันแนวคิดที่ว่า ประเทศต่างๆกำลังสูญเสียสิทธิเหนืออธิปไตยและเขตชายแดนแต่ในความเป็นจริง บรรดาประเทศที่ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญาฉบับนี้ล้วนเป็นประเทศที่ยังไม่มีปฏิบัติการเพื่อควบคุมกระแสผู้อพยพอย่างมีประสิทธิภาพในเวลาที่ผ่านมา

แม้ได้มีการถกเถียงแต่อนุสัญญาฉบับนี้ก็ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมโดยไม่สามารถปฏิเสธบทบาทของสหประชาชาติในการอนุมัติดังกล่าว อนุสัญญาที่ไม่มีลักษณะผูกมัดทางนิตินัยนี้จะช่วยให้ประเทศต่างๆปรับปรุงความร่วมมือและเสนอแผนการปฏิบัติเพื่อมุ่งสู่การปรับปรุงความร่วมมือระหว่างประเทศต้นทางของผู้อพยพกับประเทศที่ผู้อพยพเดินทางผ่านและประเทศที่รับผู้อพยพเพื่อรับมือกับเครือข่ายค้ามนุษย์ ดังนั้น ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า อนุสัญญาฉบับนี้คือ “คำตอบที่ถูกต้อง” เพื่อช่วยให้ทุกประเทศร่วมมือแก้ไขปัญหาเร่งด่วนระดับโลกนี้ได้.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด