การท่องเที่ยวชุมชนในจังหวัดกว๋างบิ่งห์
(VOVWORLD) -กว๋างบิ่ง(Quảng Bình) เป็นชื่อจังหวัดหนึ่งที่อยู่ทางภาคกลางเวียดนามที่อาจจะมีความคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวที่เคยมีโอกาสมาเที่ยว ถ้ำฟองญาแก๋บ่างหรือได้ศึกษาผ่านหนังสือการท่องเที่ยว โดยเฉพาะผู้ที่ชอบการ ท่องเที่ยวแบบผจญภัยก็อาจจะรู้จักชื่อของถ้ำ เซินด่อง- Son Doong Cave ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่ สุดในโลกที่เพิ่งถูกค้นพบในเวียดนามแต่ธรรมชาติที่สวยงามของกว๋างบิงห์ยังเปรียบเสมือนเป็นเพชรธรรมชาติที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน ซึ่งเพื่อผลักดันการพัฒนาการท่องเที่ยวกว๋างบิ่งห์ ทางการท้องถิ่นได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวโฮมสเตย์หรือฟาร์มสเตย์
ช่วงเวลาเที่ยงวัน บรรยากาศที่บ้านไม้5ห้องริมทุ่งนาของนายหว่างเญิด ในตำบลฮึงแตรก อำเภอ โบ๊แตรก เต็มด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาพักที่บ้านเขา ซึ่งนายเญิดเผยว่าเมื่อก่อนอาชีพของเขาคือไปหาไม้หอมในป่าเพื่อขายให้แก่พ่อค้า เมื่อเขตป่าฟองญากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเขาก็เปลี่ยนมาประกอบอาชีพช่างถ่ายรูปแล้วปรึกษากับภรรยาเพื่อไปกู้เงินทำโฮมสเตย์ "นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวนั้นชอบพักที่บ้านกับชาวท้องถิ่นเพราะที่โรงแรมวุ่นวายกว่า อีกอย่างคือเค้าอยากสัมผัสกับวิถีชีวิตที่แท้จริง อยากเปลี่ยนบรรยากาศเป็นเกษตรกรสักสองสามวัน ไปไถนา ปลูกข้าว เลี้ยงวัวควาย เป็นต้น"
จังหวัดกว๋างบิ่งมีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในหลายด้าน โดยมีธรรมชาติ มีถํ้าหินปูนกว่า 300 แห่งที่มีหินย้อยหินงอกที่ตระการตาและแปลกใหม่ รวมทั้งป่าสงวนฟองยาแก๋บ่าง (Phong Nha-Kẻ Bàng) ได้รับการรับรองเป็นมรดกทางธรรมชาติของโลกจากองค์การ UNESCO นอกจากนี้ จังหวัดกว๋างบิ่ง ยังมีชายฝั่งทะเลยาว 116 กิโลเมตร เพื่อพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจที่สวยงามหลายแห่ง ซึ่งความสวยงามที่เป็นธรรมชาตินี้เหมาะสมกับการท่องเที่ยวในหลากหลายรูปแบบรวมทั้งการท่องเที่ยวชุมชน โดยในหลายปีมานี้นอกจากช่วงฤดูทำไร่ทำนาเกษตรกรชาวท้องถิ่นได้เริ่มสนใจเรียนภาษาอังกฤษและวิธีการบริการโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ชอบศึกษาค้นคว้าสัมผัสวัฒนธรรมพื้นเมืองและวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น
บางคนอาจจะไม่เคยเห็นการเลี้ยงไก่เป็นอย่างไร |
คุณเลถิบิ๊กหงอก ผู้จัดการบริษัท Le Mittchel ในตำบล กึอเนิม อำเภอโบ๊แตรก ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนในกว๋างบิ่งห์เผยว่า เธอได้เดินทางไปหลายที่แล้วเห็นว่าทัศนียภาพธรรมชาติของกว๋างบิ่งห์นั้นสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะเลยตั้งใจพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน โดยแต่ละวันครอบครัวเธอต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายร้อยคนที่มาพักมาเที่ยวและร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่นไปไล่เป็ดกลางทุ่งนา เกี่ยวข้าว สีข้าว จับปลา ปรุงอาหาร ซึ่งล้วนเป็นการบริการที่ไม่ยากสำหรับชาวท้องถิ่น ดังนั้นเธอจึงแนะนำให้เพื่อนบ้านร่วมกันพัฒนาการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ เปิดเว็บไซต์และเตรียมแผนที่เตรียมโปรแกรมท่องเที่ยววัฒนธรรมพื้นเมืองให้แก่นักท่องเที่ยว "เราพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อให้ผู้ที่มาเที่ยวไม่เบื่อเพราะได้สัมผัสและเก็บประสบการณ์ใหม่ที่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนและจะเป็นคนที่ช่วยเราประชาสัมพันธ์แนะนำให้คนอื่นๆรู้จักกันด้วย ทัศนียภาพที่ท้องถิ่นของเรายังเป็นธรรมชาติที่เรียบง่าย ดังนั้นเราอยากพัฒนาการท่องเที่ยวแบบนี้อย่างยั่งยืนควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"
|
การท่องเที่ยวชุมชนไม่เพียงแต่ได้พัฒนาในตำบล ฮึกแตรก เซินแตรก รอบๆแหล่งท่องเที่ยวฟอญาเท่านั้นหากยังได้รับการขยายผลไปยังท้องถิ่นอื่นๆอย่างตำบลเขตเขาเตินฮว้า อำเภอมิงห์ฮว้า หมู่บ้านประมงแก๋งเยือง อำเภอกว๋างแตรก ซึ่งจากการช่วยเหลือขององค์การระหว่างประเทศ ชาวบ้านได้กู้เงินเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวโฮมสเตย์ นาย เหงวียนฮิวห่ง รองประธานคณะกรรมการประชาชนอำเภอโบ๊แตรก จังหวัดกว๋างบิ่งห์เผยว่า การฟื้นฟูหมู่บ้านศิลปาชีพต่างๆเช่นหมู่บ้านทำอวน ทำเหล้าข้าวโพต เป็นต้นได้ช่วยสะท้อนเอกลักษณ์วัฒนธรรมเฉพาะที่สร้างแรงดึงดูดใจให้แก่นักท่องเที่ยว "หลังจากที่มีการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัด ชาวบ้านได้เปลี่ยนแปลงความคิดเพื่อหันมาพัฒนาการบริการการท่องเที่ยว จากนั้นชาวบ้านก็มีรายได้ที่มั่นคง ทุกคนต่างดีใจ ซึ่งทางท้องถิ่นได้กำชับให้หน่วยงานต่างๆประชาสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมการบริการตลอดจนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง"
ส่วนนาย ดั๋งดงฮ่า รองผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวจังหวัดเผยว่า นอกจากจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวผจญภัยสำรวจถ้ำธรรมชาติ การท่องเที่ยวชุมชนในกว๋างบิ่งห์ก็กำลังเป็นที่ดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว นับเป็นอุตสาหกรรมไร้ควันที่ถูกกำหนดให้เป็นภาคเศรษฐกิจหลักของท้องถิ่น ดังนั้นทุกหน่วยงานต่างพยายามรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้การศึกษาแก่ประชาชนเพื่อให้ทุกคนกลายเป็นคนนำทัวร์ที่เป็นมิตร สามารถส่งเสริมคุณค่าวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในท้องถิ่น ช่วยให้การท่องเที่ยวผูกพันกับชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างมั่นคง.