การพัฒนาสหกรณ์เกษตรไร้สารเคมีที่จังหวัดท้ายบิ่ง

สถานการณ์ภายในประเทศในตลอด 77 ปีที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจส่วนรวมเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่ต้องได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาพร้อมๆกับเศรษฐกิจภาครัฐเพื่อให้กลายเป็นพื้นฐานที่มั่นคงของเศรษฐกิจเวียดนาม

ปัจจุบันเวียดนามมีสหกรณ์กว่า 2 หมื่น 9 พันแห่ง รวมสมาชิกเกือบ 7 ล้านครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตชนบท

แนวทางที่ถูกต้อง

มติ คำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามที่ประกาศใช้ในระยะต่างๆแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาทั้งทฤษฎีและความเข้าใจบนพื้นฐานของการสรุปผลการสร้างสรรค์เศรษฐกิจแบบหมู่คณะ ที่มีสหกรณ์เป็นแกนหลักสอดคล้องกับกระบวนการพัฒนาประเทศและแนวโน้มที่สำคัญในโลก โดยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนปี 2022 การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามครั้งที่ 5 สมัยที่ 13 ได้ประกาศมติที่ 20 เกี่ยวกับการเปลี่ยนปลงใหม่ พัฒนาและยกระดับประสิทธิภาพของเศรษฐกิจส่วนรวมในระยะใหม่ โดยระบุว่า “เศรษฐกิจส่วนรวมเป็นภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ต้องได้รับการเสริมสร้างและพัฒนาพร้อมๆกับเศรษฐกิจภาครัฐให้กลายเป็นพื้นฐานที่มั่นคงของเศรษฐกิจเวียดนาม” ซึ่งมติและแนวทางที่สำคัญของพรรคฯได้ถูกแปรเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย รวมถึงกฎหมายสหกรณ์ปี 2012 ที่สร้างกรอบทางนิตินัยให้แก่การส่งเสริมการพัฒนาสหกรณ์และเศรษฐกิจส่วนรวมและปัจจุบัน สภาแห่งชาติและสำนักงานที่เกี่ยวข้องกำลังปรับปรุงและเพิ่มเติมร่างกฎหมายสหกรณ์เพื่อยื่นเสนอให้ที่ประชุมสภาแห่งชาติครั้งที่ 5 สมัยที่ 15 พิจารณาอนุมัติ

ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า แนวทาง นโยบายและกฎหมายที่ถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การเปลี่ยนแปลงใหม่แนวความคิด การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการลงทุนในเศรษฐกิจส่วนรวมและสหกรณ์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ ซึ่งเศรษฐกิจส่วนรวม ที่มีสหกรณ์เป็นแกนหลักในเวียดนามได้มีรูปแบบความร่วมมือที่หลากหลายรูปแบบ โดยสหกรณ์กว่า 2 หมื่น 9 พันแห่งที่กำลังดำเนินงานอยู่นั้นเป็นสัดส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจและมีส่วนร่วมคิดเป็นร้อยละ 4 ของจีดีพี

เพื่อให้เศรษฐกิจส่วนรวมเป็นพื้นฐานที่มั่นคงของเศรษฐกิจเวียดนาม

นาย เลมิงฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทได้เผยว่า เพื่อให้เศรษฐกิจสหกรณ์และเศรษฐกิจส่วนรวมสามารถส่งเสริมบทบาทเป็นพื้นฐานที่มั่นคงของเศรษฐกิจเวียดนาม ต้องยกระดับจิตสำนึกในด้านนี้ให้แก่ผู้บริหารตั้งแต่ส่วนกลางจนถึงท้องถิ่น

“ต้องมีแผนการปฏิบัติร่วมเพื่ออบรมและยกระดับจิตสำนึกให้แก่สมาชิกสหกรณ์ ทักษะความสามารถในการบริหารสหกรณ์และเพิ่มความรู้ให้แก่เกษตรกร อีกทั้งเชื่อมโยงระหว่างสถานประกอบการกับแหล่งวัตถุดิบเพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่และประชาสัมพันธ์ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมสหกรณ์ เช่น ลดค่าใช้จ่าย  ตลาดมีเสถียรภาพและสามารถเข้าร่วมระบบการผลิต”

ส่วนนาย เจิ่นยวีดง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุนได้กล่าวถึงมาตรการแก้ไขปัญหารูปแบบสหกรณ์ที่ยังมีขนาดเล็ก พลังความสามารถยังไม่เข้มแข็งและการเชื่อมโยงภายในกลุ่มยังขาดประสิทธิภาพ โดยเผยว่า

“ทางกระทรวงฯได้ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลเพื่อยื่นเสนอร่างกฎหมายสหกรณ์ฉบับแก้ไขให้แก่สภาแห่งชาติสมัยที่ 15 พิจารณาอนุมัติ โดยระบุถึงรูปแบบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจแบบหมู่คณะอย่างพร้อมเพรียง กำหนด8 กลุ่มนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวม เช่น นโยบายด้านที่ดิน เงินทุน การเข้าถึงตลาด โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งพลังต่างๆและการพัฒนาบุคลากรของสหกรณ์ การปรับปรุงข้อกำหนดเพื่อแก้ไขอุปสรรคในการบริหารสถานประกอบการ อีกทั้งจัดทำร่างโครงการที่สำคัญ 3 โครงการได้แก่การวางแผนแบบบูรณาการเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมในทั่วประเทศ ยื่นเสนอให้สภาแห่งชาติอนุมัติการทดลองปฏิบัติกลไกและนโยบายต่างๆเพื่อพัฒนาสหพันธ์สหกรณ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก”

ภาพการเสวนา

ทั้งนี้ การเข้าใจสถานะ บทบาทและความสำคัญของเศรษฐกิจส่วนรวมในเศรษฐกิจเชิงตลาดตามแนวทางสังคมนิยมอย่างถูกต้องและสมบูรณ์เป็นปัจจัยที่สำคัญเพื่อพัฒนารูปแบบเศรษฐกิจส่วนรวม ซึ่งหน้าที่ที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆคือต้องขยายการประชาสัมพันธ์เพื่อยกระดับจิตสำนึกให้แก่ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน โดยในการเสวนา “พัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและสหกรณ์ในระยะใหม่”ที่จัดโดยสถานีวิทยุเวียดนามและสหพันธ์สหกรณ์เวียดนามเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา นาย ฝ่ามแหม่งหุ่ง รองประธานสถานีวิทยุเวียดนาม ได้ชี้ชัดว่า

“จากการเป็นหนึ่งในหน่วยงานสื่อสารมวลชนที่สำคัญของประเทศ สถานีวิทยุเวียดนามจะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจส่วนรวมและการพัฒนาสหกรณ์อย่างกว้างขวางเพื่อมีส่วนร่วมวางมาตรการและปรับปรุงข้อกำหนดของกฎหมาย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เพื่อแก้ไขปัญหาความระแวงสงสัย การใส่ร้ายป้ายสีเพื่อปฏิเสธและมุ่งยกเลิกรูปแบบเศรษฐกิจส่วนรวมของกลุ่มผู้ที่ไม่หวังดี”   

มติที่ 20 ของการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคฯครั้งที่ 5 สมัยที่ 13 ตั้งเป้าหมายว่า จนถึงปี 2045 จะมีประชากรอย่างน้อยร้อยละ 20 เข้าร่วมองค์กรเศรษฐกิจแบบหมู่คณะและมีองค์กรอย่างน้อย 3 แห่งติดหนึ่งในสหกรณ์ 300 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่างประเทศ หรือ ICA ซึ่งจากความพยายามต่างๆ เศรษฐกิจส่วนรวมและสหกรณ์จะมีส่วนร่วมมากขึ้นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ.