(VOVworld)- ในระหว่างวันที่ 8-12 กุมภาพันธ์ คณะผู้แทนระดับสูงของเวียดนาม นำโดยท่าน Vu Van Ninh รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสหรัฐโดยได้มีการพบปะหารือกับผู้นำรัฐบาล รัฐสภา กระทรวง หน่วยงานและสถานประกอบการสหรัฐ ซึ่งได้ช่วยเพิ่มโอกาสให้แก่ความร่วมมือในด้านต่างๆระหว่างสองฝ่ายมากยิ่ง ขึ้น

ท่าน Vu Van Ninh หารือกับรักษาการประธานวุฒิสภาสหรัฐ  Daniel Inouye Photo: Chinhphu.vn

นาย Bui Thanh Son รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หนึ่งในสมาชิกของคณะผู้แทนระดับสูงเวียดนามที่ร่วมเดินทางไปเยือนสหรัฐครั้งนี้ได้เผยว่า การเยือนครั้งนี้ได้ส่งสาร์นที่มีความหมายต่อนักการเมืองและสถานประกอบการสหรัฐ เช่น การเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศในทุกด้านของเวียดนาม การผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างเป็นฝ่ายรุก และจากการปฏิบัติแนวทางการทูตที่อิสระ เป็นตัวของตัวเอง มีความหลากหลายและมีความสัมพันธ์พหุภาคีได้ผลักดันให้ความสัมพันธ์หุ้นส่วนเข้าสู่ส่วนลึก ซึ่งรวมถึงหุ้นส่วนสหรัฐ ในปี 2012 และปีต่อๆไป เวียดนามจะทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขยายตัวและโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยจะเน้นพัฒนาในด้านคุณภาพแทนการพัฒนาด้านขอบเขต  พร้อมทั้งยืนยันว่า ในสภาวะการณ์ที่เศรษฐกิจโลกยังคงประสบอุปสรรค สหรัฐควรร่วมมือกับเวียดนามเพื่อลดอุปสรรคให้เหลือน้อยที่สุด โดยเฉพาะการยกเลิกกำแพงภาษีทางการค้าต่อสินค้าที่นำเข้าจากเวียดนาม เช่น ปลาสวาย ปลาบาซา ท่อเหล็กและเสากังหันลม เป็นต้น “สาส์นการเยือนครั้งนี้ของรองนายกรัฐมนตรีและคณะผู้แทนระดับสูงเวียดนามมีความชัดเจนมากคือ ในปี 2012 และปีต่อๆไป เวียดนามจะควบคุมภาวะเงินเฟ้อ ปรับเสียถรภาพเศรษฐกิจมหภาค รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวัสดิการสังคมต่อไป นอกจากนี้ จะทำการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขยายตัว ตลอดจนปรับปรุงระเบีบเศรษฐกิจเชิงตลาดให้สมบูรณ์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาแหล่งบุคลากรให้แก่กระบวนการพัฒนาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย”

ในการนี้ ตัวแทนนักการเมืองสหรัฐได้แสดงความปรารถนาที่จะส่งเสริมความร่วมมือกับเวียดนามในด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การศึกษาฝึกอบรมและด้านมนุษยธรรม ผลักดันความร่วมมือในฟอรั่มพหุภาคีและภูมิภาค เช่น ASEAN ARF APEC และ EAS  ตลอดจนเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายแก้ไขปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่ในความสัมพันธ์ทางการค้า พยายามเสร็จสิ้นการเจรจาข้อตกลงการค้าข้ามแปซิฟิกหรือ TPP โดยเร็ว  ส่วนนาย Bui Thanh Son ได้แสดงความคิดเห็นว่า จากพื้นฐานดังกล่าว ศักยภาพในความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะได้รับการพัฒนาต่อไปในเวลาข้างหน้า ในกรอบการเยือนสหรัฐครั้งนี้ ท่าน Vu Van Ninh รองนายกรัฐมนตรีเวียดนามยังได้เข้าร่วมการเสวนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเวียดนาม – สหรัฐ โดยมีผู้บริหารบริษัทชั้นนำของสหรัฐเข้าร่วมและให้คำมั่นว่า จะอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนสหรัฐที่ไปลงทุนในเวียดนามมากขึ้น  เกี่ยวกับความหวังในการพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีจากการเยือนสหรัฐครั้งนี้ของรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม นาย Bui Thanh Son รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้ยืนยันว่า            “ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันเพื่อแสวงหาการร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ พร้อมทั้งตระหนักดีถึงปัญหาที่ต้องให้ความร่วมมือและอุปสรรคที่ยังคั่งค้างอยู่  บนเจตนารมณ์แห่งไมตรีจิตและความสนใจเป็นอย่างมากจากรัฐบาลและสถานประกอบการสหรัฐ ผมคิดว่าเราสามารถยกระดับความสัมพันธ์กับสหรัฐให้ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ได้ในอนาคต”

ในระหว่างการเยือนสหรัฐ นอกจากการพบปะกับนักการเมืองสหรัฐและรักษาการประธานวุฒิสภาเดเนียล อินโนเย ประธานอนุกรรมการเอเชียแปซิฟิกสังกัดคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐ นาย จิมเว็ปป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นาย จอนห์ โบร์สัน ท่าน Vu Van Ninh ยังมีการพบปะกับประธานธนาคารโลกและรองผู้อำนวยการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งต่างให้ความสำคัญต่อนโยบายการเงินของเวียดนาม นาย Bui Thanh Son เผยว่า“บรรดาองค์กรการเงินระหว่างประเทศต่างให้ความสำคัญต่อมาตรการแก้ไขที่รัฐและรัฐบาลเวียดนามกำลังปฏิบัติ ซึ่งได้ยืนยันว่า ถ้าหากเวียดนามปฏิบัติต่อไป ในปี 2012 นี้เวียดนามจะสามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้อยู่ที่เลขหลักเดียวได้ พร้อมทั้งรักษาอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม  องค์กรเหล่านี้พร้อมที่จะร่วมมือและช่วยเหลือเวียดนามปฏิบัติเป้าหมายดังกล่าวด้วยการส่งคณะผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญมาหารือและถ่ายทอดประสบการณ์ให้แก่เวียดนาม ซึ่งผมคิดว่า นี่จะเป็นพื้นฐานเพื่อให้เวียดนามปฏิบัติมาตรการที่วางไว้ให้ลุล่วงไปด้วยดี”

ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐกำลังพัฒนาในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่และการศึกษา การเยือนสหรัฐของรองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม Vu Van Ninh ได้มีส่วนร่วมต่อการพัฒนาผลสำเร็จที่น่ายินดีดังกล่าวและเปิดโอกาสให้แก่ความร่วมมือระหว่างสองประเทศในเวลาข้างหน้า./.