สถานะภาพด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐมิได้ดีกว่าประเทศอื่น

(VOVworld) – รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโลกปี๒๐๑๑ที่ประกาศ เมื่อวันที่๒๔พฤษภาคมที่ผ่านมาได้ถูกหลายประเทศตำหนิติติงอย่างรุนแรง.....

(VOVworld) – รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโลกปี๒๐๑๑ที่ประกาศ เมื่อวันที่๒๔พฤษภาคมที่ผ่านมาได้ถูกหลายประเทศตำหนิติติงอย่างรุนแรงเนื่องจากในประเทศสหรัฐก็ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งแถลงการณ์ทางการทูตของหลายประเทศต่างยืนยันว่า ไม่มีประเทศใดมีสิทธิ์นำปัญหาสิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น”

สถานะภาพด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐมิได้ดีกว่าประเทศอื่น - ảnh 1
ตำรวจสหรัฐจับกุมตัวผู้ที่เข้าร่วมขบวนการยึดวอลสตรีส(Photo:Internet)

(VOVworld) – โดยแถลงการณ์ของคิวบาที่ประท้วงรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนโลกปี๒๐๑๑ของสหรัฐนั้นได้กล่าวว่า ข้อกล่าวหาของสหรัฐเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในคิวบามีวัตถุประสงค์เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นด้านความโหดร้ายจากการใช้นโยบายคว่ำบาตรคิวบาของสหรัฐ   ส่วนจีนถือรายงานฉบับนี้ของสหรัฐเป็นเอกสารที่มีลักษณะเลือกปฏิบัติ และไม่เคารพความจริง  ส่วนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามยืนยันว่า รายงานของสหรัฐ ส่วนที่ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนามนั้นเป็นข้อสังเกตุที่ขาดภาวะวิสัยเนื่องจากอาศัยข่าวสารข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม  นอกจากออกแถลงการณ์ประท้วงรายงานดังกล่าวของสหรัฐแล้ว ทางการปักกิ่งยังประกาศรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสหรัฐปี๒๐๑๑ในชีวิต สังคม ความยากจน ความมั่นคงของมนุษย์ สิทธิ์พลเรือนและการเมือง สิทธิ์ด้านวัฒนธรรม สังคม เศรษฐกิจ การเหยียดเชื้อชาติ สิทธิ์ของเด็กและสตรีและ สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐในประเทศอื่นๆ และเห็นว่า การละเมิดสิทธิ์พลเรือนและการเมืองในสหรัฐกำลังมีขึ้นอย่างรุนแรงและสหรัฐกำลังหลอกตัวเองโดยถือว่า สหรัฐเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ แม้ว่าสหรัฐบออกมาแถลงว่า สนับสนุนเสรีภาพสื่อมวลชนแต่ในทางเป็นจริงสหรัฐกลับเซ็นเซ่อร์และควบคุมสื่อมวลชนอย่างเข้มงวดโดยในกฏหมายLaw of nationalismและกฏหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในของสหรัฐก็มีมาตราเกี่ยวกับการควบคุมอินเตอร์เนตอนุญาติให้รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถใช้อำนาจทางทางกฏหมายเพื่อควบคุมและสกัดกั้นเนื้อหาข้อมูลบนอินเตอร์เนตที่ส่งผลเสียต่อความมั่นคงของชาติ  นอกจากนี้ จีนยังได้อ้างแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดี้ยนของอังกฤษที่ว่า กองทัพสหรัฐกำลังพัฒนาซอฟแวร์ที่สามารถแทรกแซงเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อควบคุมและจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบนอินเตอร์เนต  นอกจากนี้ รัฐสภาสหรัฐยังประสบกับความล้มเหลวในการอนุมัติกฏหมายปกป้องแหล่งข่าวของสื่อมวลชน อีกทั้ง จำนวนสื่อมวลชนที่ต้องตกงานเนื่องจากวิพากษ์วิจารย์การเมืองในทางลบเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการปฏิบัติต่อบรรดาผู้เดินขบวนที่เข้าร่วมขบวนการยึดครองวอล สตรีสก็ได้ช่วยให้ทั่วโลกทราบเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าเสรีภาพและประชาธิปไตยในสหรัฐ          
ในรายงานประจำปีเมื่อก่อนนี้ องค์การนิรโทษกรรมสากลได้ย้ำถึงสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในสหรัฐโดยระบุว่า สหรัฐซึ่งเป็นประเทศที่เข้มแข็งเกรียงไกรที่สุดในโลกได้ทำการวางมาตรฐานการปฏิบัติต่อประเทศต่างๆแต่วอชิงตันกลับมีปฏิบัติการท้าทายต่อกฏหมายสากลในการต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลกโดยเฉพาะ การบุกสังหารนาย อุซามะห์ บินลาเดน หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะในปากีสถานคือตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดของการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่โดดเด่นที่สุด ส่วนในรายงานปีนี้ องค์การนิรโทษกรรมสากลยังได้ตำหนิทางการของประธานาธิบดียอร์ช w บุชที่อนุมัติให้สามารถทำทารุณผู้ต้องหาก่อการร้ายที่ถูกคุมขังในเรือนจำกวนตานาโม  ส่วนองค์การHuman Right Watch เคยขอร้องให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ดำเนินคดีอาญาต่ออดีตประธานาธิบดียอร์ช w บุตและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนและได้แสดงความเสียใจต่อการที่ประธานาบดีบารัก โอบามาไม่สามารถปิดเรือนจำกวนตานาโมได้ซึ่งทั้งสององค์การดังกล่าวต่างเห็นว่า สหรัฐจงใจเมินเฉยต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายของประเทศตนและมีท่าทีเมินเฉยต่อคำเตือนขององค์การสิทธิมนุษยชนต่างๆเกี่ยวกับปัญหานี้           
ประเทศและองค์การระหว่างประเทศต่างๆได้ย้ำว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายของสหรัฐไม่อนุญาติให้สหรัฐไปกำหนดว่า ประทเศนั้นประเทศนี้ มีปัญหาสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ยังมีการตำหนิสหรัฐที่ได้มีปฏิบัติการแซกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นๆเพราะว่า ไม่มีประเทศใดที่มีสิทธิ์นำปัญหาสิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น สำหรับเวียดนาม รายงานดังกล่าวของสหรัฐได้เดินทวนความพยายามและแนวโน้มของความสัมพันธ์ที่กำลังพัฒนาอย่างกว้างลึก ด้วยเจตนารมณ์แห่งมิตรไมตรี เวียดนามพร้อมที่จะร่วมมือและสนทนากับประเทศและองค์การระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้งสหรัฐเกี่ยวกับปัญหาต่างๆที่ยังมีวิธีการมองที่แตกต่างกัน รวมไปถึงปัญหาสิทธิมนุษยชน ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ การทูตนั่นสิ่งที่ทั้งสองประเทศพยายามปฏิบัติก็คือส่งเสริมการสนทนาเพื่อสร้างเข้าใจและลดความขัดแย้ง ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ได้ สัมพันไมตรีและความร่วมมือระหว่างสองประเทศจะได้รับการพัฒนาต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ ./.

                                                                                                                                                                                                                                                                                   

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด