(VOVWORLD) - ภายหลังความพยายามมาหลายปีเพื่อตั้งใจเจาะตลาดโลกในปี 2022 สินค้าเกษตรของเวียดนามก็สามารถเข้าถึงตลาดที่มีมาตรฐานเข้มงวดหลายแห่ง เช่น ยุโรป ญี่ปุ่นและสหรัฐโดยการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศนั้น นอกจากเป็นการนำสินค้าเวียดนามไปถึงมือของผู้บริโภคในทั่วโลกแล้ว ก็ยังเป็นการยืนยันถึงสถิติ ความมุ่งมั่นและความพยายามของเกษตรกรและสถานประกอบการเวียดนามที่อีกด้วย
ส้มโอที่ได้มาตรฐานการส่งออกไปยังสหรัฐ |
ที่สวนส้มโอเปลือกเขียวเนื้อแดงของนาย โห่วันเหล่ย ในจังหวัดเบ๊นแจ มีการใช้สารชีวภาพสำหรับป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช เช่น แมลงวันสีเหลืองและหนอนเจาะลำต้นตั้งแต่ออกดอกจนถึงช่วงการเก็บผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นาย โห่วันเหล่ยเผยว่า
“ผมพยายามทำตามการแนะนำของคู่ค้าเกี่ยวกับการใช้สารชีวภาพสำหรับป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืชอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ”
ส่วนนาย เหงวียนวันท้าย รองหัวหน้าสหกรณ์ส้มโอเบ๊นแจ ได้เผยว่า
“ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในการส่งออกส้มโอไปยังประเทศต่างๆ เช่น การจัดทำบันทึกการผลิต การแก้ไขปัญหาหนอนเจาะผลส้มโอ การใช้สารชีวภาพสำหรับป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช”
ก่อนถึงช่วงเก็บผลผลิตประมาณ 1 เดือน พ่อค้าและบริษัทต่างๆจะมาวัดความหวานของส้มโอ ซึ่งผู้ปลูกต้องปรับปรุงการใช้ปุ๋ยเพื่อห้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ สมดุลและเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตและความหวานของส้มโอตามมาตรฐาน ซึ่งการส่งออกส้มโองวดแรกไปยังสหรัฐทำให้เกษตรกรมีความปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“การส่งออกส้มโอช่วยให้ผู้ปลูกสามารถเพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น”
“พวกเรามีความหวงแหนและพยายามจัดตั้งและพัฒนาสหกรณ์ปลูกส้มโอ อีกทั้งเชื่อมโยงกับสถานประกอบการในการส่งออกส้มโออย่างมีเสถียรภาพ”
พิธีประกาศการส่งออกส้มโองวดแรกไปยังสหรัฐ |
การที่เกษตรกรจังหวัดเบ๊นแจสามารถส่งออกส้มโอไปยังตลาดสหรัฐเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2022 คือผลสำเร็จของความพยายามในตลอด 5 ปีเพื่อเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตตามมาตรฐานและเงื่อนไขต่างๆของตลาดโลก ตัวอย่างเช่นบริษัทนำเข้าและส่งออกผลไม้ แช้งทู จำกัด ในจังหวัดเบ๊นแจเป็นบริษัทที่สนับสนุนเกษตรกรเบ๊นแจให้สามารถส่งออกส้มโอไปยังตลาดสหรัฐได้เป็นครั้งแรก โดยทางบริษัทฯ ได้ปฏิบัติขั้นตอนการผลิตอย่างเข้มงวดเพื่อค้ำประกันให้สินค้าเกษตรเวียดนามได้มาตรฐานที่เข้มงวดของตลาดต่างชาติ ก่อนหน้านั้น เมื่อปี 2019 ทางบริษัทฯ ก็ได้สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถส่งออกมะม่วงไปยังตลาดสหรัฐและส่งออกลิ้นจี่ไปยังตลาดญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2020
ตั้งแต่เช้าตรู่ กรรมกรของบริษัทส่งออกและนำเข้าผลไม้ แช้งทู จำกัด ได้เร่งทำความสะอาดส้มโอก่อนบรรจุใส่ตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐและติดสติ๊กเกอร์ที่ขั้วผลทุเรียนเพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งหลังจากรับซื้อและขนส่งผลไม้มาถึงบริษัทแล้ว คนงานจะรีบทำความสะอาดและจัดการตามกรรมวิธียืดอายุการเก็บรักษาผลไม้ในเบื้องต้น
ตามมาตรฐานของสหรัฐ เขตปลูกและสถานที่ผลิตต้องมีมาตรการกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช ปัญหาผลส้มโอหลุดร่วงก่อนเก็บเกี่ยว การทำความสะอาด การใช้ไอน้ำร้อนและสารเคลือบผิวและการฉายรังสีหลังการเก็บเกี่ยว รวมถึงใบรับรองสุขอนามัยพืชสําหรับการส่งออกส้มโอ คุณ โงเตื่องวี รองผู้อำนวยการบริษัทส่งออกและนำเข้าผลไม้แช้งทู ได้เผยว่า
“ตลาดต่างประเทศล้วนมีมาตรฐานที่เข้มงวด เช่น ตลาดจีนมีมาตรฐานด้านคุณภาพสินค้าที่เข้มงวดมาก มาตรฐาน Global Gap ของยุโรปและสหรัฐ ซึ่งปัจจุบัน ทางบริษัทฯเป็นสถานประกอบการแห่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกผลไม้ไปยังสหรัฐ ซึ่งเรารอคอยสิ่งนี้มาตลอด 6 ปี”
นอกจากการส่งออกส้มโอแล้ว ทางบริษัทส่งออกและนำเข้าผลไม้แช้งทู มีความประสงค์ว่า จะสามารถส่งออกผลไม้อื่นๆไปยังสหรัฐมากขึ้นเพื่อสร้างพื้นฐานให้แก่สินค้าเวียดนามในการเจาะตลาดที่มีมาตรฐานที่เข้มงวด ซึ่งการส่งออกสินค้าเกษตรเวียดนามไปยังประเทศที่มีมาตรฐานที่เข้มงวดอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นสร้างสรรค์และพัฒนาเครื่องหมายการค้าเวียดนาม คุณ โงเตื่องวี รองผู้อำนวยการบริษัทส่งออกและนำเข้าผลไม้แช้งทู ได้ผยต่อไปว่า
“พวกเราต้องรับผิดชอบต่อการส่งออกสินค้าต่างๆเพื่อเผยแพร่ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศเวียดนาม ซึ่งดิฉันมีความประสงค์ว่า จะประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรที่มีคุณภาพสูงของเวียดนามสู่ประชาชนประเทศต่างๆ”
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการกับเกษตรกรและการเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตตามมาตรฐานสากลได้มีส่วนร่วมผลักดันแนวโน้มการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาตลาดอย่างยั่งยืน
นาย หวิ่งวันถ่อน ประธานเครือบริษัท Lộc Trời (toquoc.vn) |
ปี 2020 เวียดนามมีสินค้าการเกษตรอีก 5 รายการ ที่ได้รับการส่งออกอย่างเป็นทางการไปยังตลาดใหญ่ที่มีเงื่อนไขเข้มงวด คือ ทุเรียน ที่ส่งออกไปยังจีน ลำไยที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่น ส้มโอส่งออกไปยังสหรัฐ มะนาวและส้มโอส่งออกไปยังนิวซีแลนด์ และเมื่อวันที่ 2 กันยายนปี 2022 ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าวของกลุ่มบริษัทหลกเจ่ยเวียดนามได้ถูกวางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ต E.Leclerc ซึ่งเป็นระบบซุปเปอร์มาเก็ตขายปลีกชั้นนำของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ข้าวเวียดนามสามารถตอบสนองมาตรฐานที่เข้มงวดของยุโรป
ในหลายปีมานี้ เครือบริษัท Lộc Trời ได้ใช้โดรนเพื่อการเกษตรและแผนที่ดิจิทัลในการปฏิบัติรูปแบบทุ่งนาขนาดใหมญ่ นาย หวิ่งวันถ่อน ประธานเครือบริษัท Lộc Trời ได้เผยว่า
“ทางบริษัทฯได้ใช้วิธีการบริหารจัดการและแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น การใช้โดรนเพื่อการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ”
การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทำให้สามารถใช้แมลงต่าง ๆ เช่น แมงมุม แมลงเต่าทอง แมลงปอ เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืชและทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น สำหรับเกษตรกรได้ร่วมมือกับสถานประกอบการในการผลิตข้าว โดยได้ลงนามในสัญญาซื้อขายข้าวตั้งแต่ต้นฤดูกาลผลิต นาย หวิ่งวันถ่อน ประธานเครือบริษัท Lộc Trời ได้เผยว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจก้าวไปสู่ตลาดโลกทำให้เกษตรกรและสถานประกอบการเป็นฝ่ายรุกในการวางแผนพัฒนาการผลิตและประกอบธุรกิจ
“ต้องผลิตข้าวอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานโลก รวมถึงการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและการพัฒนารหัสพื้นที่ปลูกเพื่อยกระดับแบรนด์ข้าวและสินค้าเกษตร ซึ่งต้องวางแผนการผลิตและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ”
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร ป่าไม้และสัตว์น้ำในปี 2022 จะทำสถิติใหม่คือกว่า 5 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 เมื่อเทียบกับปี 2021 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรบรรลุกว่า 2 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในนั้นมูลค่าการส่งออกข้าวบรรลุ3.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ผักและผลไม้อยู่ที่ 3.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความสำเร็จต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถปฏิเสธประสิทธิภาพของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการผลิตเกษตรได้ ปัจจุบันนี้ เวียดนามมีโซนเกษตรไฮเทค 5 แห่งและเขตเกษตรไฮเทค 18 แห่ง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตเกษตรไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้สินค้าการเกษตรของเวียดนามสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศเท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อก้าวรุดหน้าของเกษตรกรและสถานประกอบการเวียดนามอีกด้วย ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามได้พบปะกับดร. เจิ่นยวีแคง หัวหน้าสถาบันนักธุรกิจเอเปกเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องโดยในการตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการผลิตเกษตรในเวียดนาม ดร.เจิ่นยวีแคง ได้ประเมินว่า
“เวียดนามมีรูปแบบการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ เช่น การใช้ระบบสปริงเกอร์ลดน้ำที่ทุ่งหญ้าเลี้ยงโคนมและการติดไมโครชิปที่ใบหูโคนมของบริษัท Vinamilk ระบบรดน้ำและให้ปุ๋ยอัตโนมัติในการปลูกผักผลไม้ในเรือนกระจกที่จังหวัดเลิมด่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงทั้งในการผลิตเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและอุตสาหกรรมแปรรูป”
ซึ่งสถานประกอบการต่างๆมีความประสงค์ที่จะนำเข้าเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ส่วนสำหรับเกษตรกรก็เปลี่ยนแปลงวิธีคิดในการเข้าร่วมระบบห่วงโซ่การผลิต เช่น การผลิตพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ การเพาะเลี้ยงและการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก
“การเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเป็นแนวโน้มที่สำคัญทั้งในประเทศพัฒนาและเวียดนาม โดยรูปแบบการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตเกษตรได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความมุ่งมั่นก้าวไปสู่ตลาดโลกของเกษตรกรและสถานประกอบการเวียดนาม”
สำหรับศักยภาพการพัฒนาการเกษตรเวียดนาม ดร.เจิ่นยวีแคง ได้เผยว่า
“การเกษตรของเวียดนามยังมีศักยภาพอีกมากเพราะเวียดนามตั้งอยู่ในเขตโซนร้อนที่มีผักและผลไม้ตลอดทั้งปีและมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตที่มีขอบเขตที่กว้างขึ้นจะมีส่วนร่วมยกระดับประสิทธิภาพและสร้างก้าวกระโดดในการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและสร้างพื้นฐานให้แก่การพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน”
ดร. เจิ่นยวีแคง หัวหน้าสถาบันนักธุรกิจเอเปก (petrotimes.vn) |
ในการกล่าวปราศรัยปิดการประชุมครั้งที่ 5 คณะกรรมการกลางพรรคฯ สมัยที่ 13 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ท่านเลขาธิการใหญ่พรรคฯ เหงียนฟู้จ่อง ได้ย้ำว่า การเกษตรคือจุดแข็งของประเทศ ซึ่งต้องทำการผลิตและประกอบธุรกิจตามห่วงโซ่มูลค่า บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงใหม่นวัตกรรม พัฒนาตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ซึ่งแนวทางนี้ได้รับคำชื่นชมจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน
“ความได้เปรียบของเวียดนามคือความหลากหลายในด้านพื้นที่และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้สินค้าเกษตรเวียดนามสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดต่างๆและเวียดนามกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจการเกษตรที่มีมูลค่าสูง”
“นอกจากการขยายภาคการส่งออกเพื่อมีส่วนร่วมต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจแล้ว ความชื่นชอบและความต้องการของลูกค้าในประเทศต่างๆ ก็ถือเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเข้าร่วมของเวียดนามในระบบนิเวศการเกษตรโลก”
นาย เลมิงฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบท (VGP) |
เพื่อใช้ความแข็งแกร่ง ศักยภาพของสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์และความมุ่งมั่นของเกษตรและสถานประกอบการในด้านการเกษตรได้อย่างเต็มที่ เวียดนามจะมีแนวทางที่เป็นรูปธรรม สำหรับเรื่องนี้ นาย เลมิงฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตรและพัฒนาชนบทได้ยืนยันในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามว่า
“เวียดนามได้ส่งออกสินค้าเกษตรไปยังตลาดที่มีมาตรฐานที่เข้มงวดต่างๆเพื่อเพิ่มความหลากหลายของตลาดและผลิตภัณฑ์ สิ่งที่สำคัญคือการยืนยันคุณภาพของสินค้าเกษตรเวียดนามที่ตอบสนองมาตรฐานที่เข้มงวดของตลาดต่างๆ โดยสถานประกอบการและเกษตรกรได้เปลี่ยนแปลงหันมาส่งออกสินค้าตามความต้องการของตลาด ส่วนการส่งออกข้าวที่มีคุณภาพสูงไปยังยุโรปและญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นว่า เวียดนามกำลังเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองความต้องการของตลาดต่างๆ เช่น อียู ญี่ปุ่นและสหรัฐ เป็นต้น”
นาย เลมิงฮวาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทได้เผยว่า ผลสำเร็จดังกล่าวมาจากการเปลี่ยนแปลงมาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร ซึ่งผลการวิจัยของนักวิชาการ สมาคม หน่วยงานและองค์กรของเกษตรกรได้เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร ในขณะที่รูปแบบการผลิตเกษตรใหม่ๆได้สร้างพลังขับเคลื่อนให้แก่การพัฒนาการเกษตร การเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ตลาดและสังคมและระหว่างภาครัฐกับสถานประกอบการ เกษตรกรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ชัดในปี 2022
ในปี 2023 กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบทได้มีแนวทางปรับปรุงและมุ่งสู่การสร้างสรรค์การเกษตรที่ยั่งยืนและมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้น
“ปัจจุบัน การประเมินสินค้าเกษตรไม่ใช้แค่มองในเรื่องราคาและคุณภาพเท่านั้น หากยังต้องมองในเรื่องกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพอีกด้วย โดยในการประชุม COP 26 เมื่อเดือนตุลาคมปี 2021 ณ ประเทศอังกฤษ เวียดนามได้ให้คำมั่นว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 พัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน เข้าร่วมระบบห่วงโซ่คุณค่าโลกและระบบห่วงโซ่อุปทานอาหารในทั่วโลก”
หลังจากได้ดำเนินการส่งออกมานับสิบปี สินค้าการเกษตรเวียดนามนับวันยืนยันคุณค่าในตลาดที่มีเงื่อนไขเข้มงวด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสติปัญญาของคนเวียดนามในการเพิ่มมูลค่าและยืนยันสถานะของสินค้าการเกษตรเวียดนามบนเวทีโลก ขณะนี้ เวียดนามกำลังอยู่ท่ามกลางโอกาสใหม่ จากความพยายามนำสินค้าเวียดนามผสมผสานเข้ากับกระแสโลก เกษตรกรและสถานประกอบการเวียดนามกำลังพึ่งตนเองและเป็นฝ่ายรุกในการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและพัฒนาอย่างยั่งยืนมากขึ้น.