(VOVWORLD) - อาร์ติโชคเป็นพืชเมืองหนาวที่สามารถนำไปทำเป็นอาหารและเป็นสมุนไพรบำรุงตับ โดยที่เวียดนาม มีการปลูกอาร์ติโชคในเมืองที่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปีอย่างเมืองซาปาในจังหวัดลาวกายและเมืองดาลัตในจังหวัดเลิมด่ง ถึงแม้เมืองซาปาได้เริ่มพัฒนาเขตปลูกอาร์ติโชคมาแค่ 10ปี แต่จนถึงปัจจุบัน อาร์ติโชคได้กลายเป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรที่สำคัญโดยมีพื้นที่ปลูกมากถึง 65เฮกตา โดยเฉพาะมี 140ครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการปลูกอาร์ติโชคของบริษัท Traphaco Sapa จำกัด ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ช่วยสร้างงานทำ สร้างรายได้และมีส่วนร่วมประชาสัมพันธ์การใช้พืชสมุนไพรให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น
สวนปลูกอาร์ติโชคของครอบครัวนาย เจิ่นดิ่งเวียน |
นาย เจิ่นดิ่งเวียน อายุ 46ปี บ้านเกิดอยู่ที่อำเภอบ๊าวทั้ง จังหวดลายกาย เข้าร่วมโครงการปลูกอาร์ติโชคของบริษัท Traphaco Sapa จำกัดที่ตำบลต๊าฝิ่นในเมืองซาปามาแล้ว 3ปี นายเวียนเผยว่า ก่อนเข้าร่วมโครงการปลูกอาร์ติโชค ครอบครัวของเขาเคยปลูกดอกไม้เมืองหนาวหลายชนิด แต่ก็ไม่ได้ผลตามที่หวัง ดังนั้นจึงหันมาปลูกอาร์ติโชค ซึ่งช่วยให้ครอบครัวของนายเวียนสามารถก่อสร้างบ้านใหม่และตั้งถิ่นฐานที่มั่นคงในตำบลต๊าฝิ่น
“ที่ตำบลต๊าฝิ่น มีแค่ครอบครัวผมและนายเลิมที่เป็นคนต่างถิ่นมาปลูกอาร์ติโชค โดยชาวบ้านปลูกอาร์ติโชคที่นี่เยอะมาก ส่วนพื้นที่ปลูกอาร์ติโชคนับวันเพิ่มมากขึ้นเพราะการเก็บเกี่ยวได้ผลดีและมีสถานประกอบการมาซื้อใบและดอกถึงสวนของชาวบ้านในราคา 2.200ด่งต่อกิโลกรัม ซึ่งทำให้เรามีความมั่นใจในการผลิต นอกจากนี้ ปัญหาศัตรูพืชอาร์ติโชคมีไม่มาก ส่วนการปลูกดอกไม้หรือผักเมืองหนาวแม้จะมีรายได้ดีกว่า แต่ไม่มีตลาดรองรับที่มั่นคง”
เพื่อปฏิบัติโครงการดังกล่าว นายเวียนได้เช่าที่ดินกว้าง 1เฮกตาของชาวบ้านชนเผ่าม้งที่ตำบลต๊าฝิ่นด้วยค่าเช่า 35ล้านด่งต่อปี ซึ่งการปลูกอาร์ติโชคสามารถสร้างกำไรให้แก่ครอบครัวของเขาประมาณ 100ล้านด่งต่อปี
“การปลูกอาร์ติโชคต้องใช้เวลา 8-10 เดือนและสามารถเก็บเกี่ยวได้ 7 ครั้ง เฉพาะใบอาร์ติโชคสามารถเก็บได้ 50ตัน บริษัท Traphaco Sapa เปิดการอบรมขั้นตอนการปลูก รับซื้อใบและดอกอาร์ติโชค ส่วนพวกเราจะลงทุนและปลูกด้วยตนเอง”
นาย เจิ่นดิ่งเวียนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววีโอวี |
นอกเหนือจากแรงงานที่เป็นสมาชิกในครอบครัว นาย เวียนยังได้จ้างแรงงานชนเผ่าม้งในการปฏิบัติขั้นตอนต่างๆ เช่น การเก็บใบ การใช้ปุ๋ยและดูแลต้นอาร์ติโชค
“หนูชื่อเหวิ่นถิเยอะ เป็นชาวม้ง อายุ 15ปี หนูมาทำงานที่นี่หลายครั้งแล้ว งานไม่หนัก และได้เงิน 1แสน7 หมื่นด่งต่อวัน”
“นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ดิฉันถูกจ้างให้มาเก็บใบอาร์ติโชคกับแม่ ถ้าไม่ทำงานนี้ ดิฉันก็จะไปช่วยพ่อแม่ทำนาและปลูกข้าวโพด”
นอกเหนือจากแรงงานที่เป็นสมาชิกในครอบครัว นาย เวียนยังได้จ้างแรงงานชนเผ่าม้งในการปฏิบัติขั้นตอนต่างๆ |
ชาวม้งที่ถูกจ้างให้มาเก็บใบอาร์ติโชคในสวนของนายเวียน |
ส่วนทางการปกครองท้องถิ่นได้สนับสนุนการพัฒนาเขตปลูกพืชสมุนไพร รวมทั้งอาร์ติโชคในเมืองซาปาเพราะมีสภาพธรรมชาติที่เหมาะสม นาย เหงวียนแองต๊วน ผู้อำนวยการสำนักงานเกษตรและพัฒนาชนบทจังหวัดลาวกายได้เผยว่า เมืองซาปาตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร โดยเฉพาะมีเทือกเขาหว่างเลียนเซินและยอดเขาฟานซีปานที่มีความสูง 3143เมตรเมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล ซึ่งถือเป็นหลังคาแห่งอินโดจีน ทำให้เมืองซาปามีระบบนิเวศที่หลากหลาย โดยมีพืชต่างๆเกือบ 3000ชนิด รวมถึงพืชสมุนไพรกว่า 800ชนิด
“ปัจจุบัน ทางการจังหวัดกำลังส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรตามใบสั่งซื้อของสถานประกอบการ โดยเฉพาะโครงการปลูกอาร์ติโชคของบริษัทTraphaco Sapa จำกัดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาบำรุงตับและยารักษาโรคความดันโลหิต โดยบริษัท Traphaco Sapa ได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานและปฏิบัติโครงการปลูกอาร์ติโชคตามมาตรฐานสากล ส่วนเกษตรกรได้รับการอบรมด้านเทคนิกในทุกขั้นตอนเพื่อค้ำประกันความปลอดภัยด้านอาหาร”
นาย โด๊ะเตี๊ยนสี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าววีโอวี |
นอกจากใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างงานทำและรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นแล้ว โครงการปลูกอาร์ติโชคในเมืองซาปายังช่วยให้ชาวบ้านมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประโยชน์ของพืชสมุนไพรต่างๆ นาย โด๊ะเตี๊ยนสี ผู้อำนวยการบริษัทTraphaco Sapa จำกัดได้เผยว่า“ในการปฏิบัติโครงการดังกล่าว ทางบริษัทมีแผนทำการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้พืชสมุนไพรในท้องถิ่น โดยได้จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมพืชสมุนไพร ที่ สำนักงานใหญ่ของบริษัทในเมืองซาปาเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารและการใช้พืชสมุนไพรต่างๆ”
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ชาอาร์ติโชคของบริษัทTraphaco Sapa จำกัดได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวในเมืองซาปาและจังหวัดลาวกายเป็นอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของทางการท้องถิ่นในการดึงดูดการลงทุนในโครงการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดลาวกายและเมืองซาปา อีกทั้งแสดงให้เห็นว่า นี่เป็นโครงการที่ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและเอื้อประโยชน์ให้แก่ทั้งประชาชน ภาครัฐและสถานประกอบการ.