ท่าทีที่แตกต่างกันของนานาประเทศต่อคำประกาศของสหรัฐเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือเขตที่ราบสูงโกลัน
(VOVWORLD) - ในข้อความที่โพสต์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แสดงความเห็นว่า “ภายหลัง 52 ปี ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐต้องรับรองอธิปไตย์ที่สมบูรณ์ของอิสราเอลเหนือเขตที่ราบสูงโกลัน ที่มีบทบาทสำคัญด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ต่อรัฐอิสราเอลและเสถียรภาพของภูมิภาค” ก็แตกต่างกันซึ่งประชาคมระหว่างประเทศก็ได้แสดงท่าทีที่แตกต่างกันต่อความเห็นนี้ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์
ทหารอิสราเอลในเขตชายแดนที่ติดกับซีเรียและเขตที่ราบสูงโกลัน (AFP) |
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม รัฐบาลซีเรียได้ตำหนิคำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมทั้งย้ำว่า ทางการดามัสกัสยืนหยัดยึดคืนเขตที่ราบสูงโกลัน
ส่วนเลขาธิการใหญ่ของสันนิบาตอาหรับ Amed Aboul Gheit ได้แสดงความเห็นว่า คำประกาศของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ “ออกนอกขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศ” และยืนยันถึงสิทธิการเป็นเจ้าของของซีเรียต่อเขตที่ราบสูงโกลัน รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกีได้ย้ำว่า อังการา “สนับสนุนบูรณภาพแห่งดินแดนของซีเรีย” และ “ความพยายามของวอชิงตันเพื่อสร้างความชอบด้วยกฎหมายต่อการกระทำผิดกฎหมายของอิสราเอลมีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงในภูมิภาค”
ในขณะเดียวกัน โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน Bahram Qasemi เผยว่า คำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับเขตที่ราบสูงโกลันเป็น “สิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สามารถยอมรับได้” และว่า “ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เขตนี้เป็นของซีเรีย” ส่วนโฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย Maria Zakharova ได้แสดงความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงกลไกของเขตที่ราบสูงโกลันจะละเมิดข้อกำหนดของสหประชาชาติ นาย อันโตนิโอ กูเตอร์ เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อท่าทีดังกล่าวของสหรัฐ
ส่วนเมื่อวันที่ 21 มีนาคม นาย บันจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลได้ชื่นชมคำมั่นแห่ง “ประวัติศาสตร์” ของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการรับรองอธิปไตยของอิสราเอลเหนือเขตที่ราบสูงโกลัน เขตที่มีการพิพาทที่อิสราเอลยึดครองในสงครามเมื่อปี 1967
วันที่ 22 มีนาคม พระราชวังเครมลินเผยว่า รัสเซียหวังว่า คำประกาศของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นแค่ “คำเรียกร้อง” และไม่กลายเป็นการตัดสินใจอย่างเป็นทางการของสหรัฐ
ในวันเดียวกัน ประธานาธิบดีตุรกี Tayyip Erdogan ได้เตือนว่า คำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิด “วิกฤษครั้งใหม่”.