นายกรัฐมนตรีไทยเดินทางมาเยือนประเทศเวียดนาม
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยเดินทางมาเยือนเวียดนามตามธรรมเนียมของบรรดาประเทศในกลุ่มอาเซียน
วันที่ 30 พฤศจิกายน นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยเดินทางมาเยือนสันถวไมตรีเวียดนามอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของท่าน Nguyen Tan Dung นายกรัฐมนตรีเวียดนามและตามธรรมเนียมในกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นการเยือนตามธรรมเนียมในกลุ่มอาเซียน ในการเจรจาภายหลังพิธีต้อนรับ
นายกรัฐมนตรีทั้งสองท่านได้แสดงความปรารถนาที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์
มิตรภาพเพื่อนบ้านและความร่วมมือในหลายด้านให้พัฒนายิ่งขึ้น
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนทุกระดับ
ผลักดันการปฏิบัติระเบียบความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระหว่างประเทศ
ตลอดจนกระชับความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษาฝึกอบรม
สาธารณสุข การท่องเที่ยว การผลิตข้าว
เพื่อพัฒนาให้ความสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือทวิภาคีเข้าสู่ส่วนลึกอย่าง
จริงจัง โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีเวียดนาม Nguyen Tan Dung
ได้กล่าวยืนยันว่า
เวียดนามส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยเข้ามาลงทุนในเวียดนามมากขึ้นโดยเฉพาะในเขต
ภาคกลางของเวียดนาม ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอให้รัฐบาลทั้งสองประเทศร่วมแก้ไขอุปสรรคต่างๆเพื่อ
อำนวยความสะดวกให้แก่การส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าโดยเฉพาะในแนวเศรษฐกิจ
ตะวันออก – ตะวันตก นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองท่านยังเห็นพ้องกันว่า
จะไม่อนุญาติให้องค์กรหรือบุคคลใดๆใช้ดินแดนของตนเพื่อทำการเคลื่อนไหวที่
มุ่งทำลายประเทศเวียดนามหรือไทย
ย้ำเกี่ยวกับจุดยืนในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างบรรดาประเทศ
ในภูมิภาคเพื่อการใช้ประโยชน์แหล่งน้ำจากแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน
รวมไปถึงการปฏิบัติระเบียบการต่างๆของอาเซียนเพื่อเป้าหมายสร้างสรรค์
ประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งในปี2015 ในวันเดียวกัน
นายกฯไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะประธานแห่งรัฐเจืองเตินซาง
ในการนี้ประธานแห่งรัฐเวียดนามได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่ได้อำนวยความสะดวก
เพื่อให้ชมรมชาวเวียดนามในประเทศไทยได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคง
ส่วนนายกฯไทยได้ยืนยันว่า
ไทยจะกระชับความสัมพันธ์ในทุกด้านโดยเฉพาะในด้านที่มีศักยภาพคือเศรษฐกิจ
พลังงานและการท่องเที่ยว
ตลอดจนแสดงความเชื่อมั่นว่าการเยือนเวียดนามครั้งนี้จะมีส่วนร่วมยกระดับ
สัมพันธไมตรีและความร่วมมือระหว่างสองประเทศให้ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่ ส่วนในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามประจำกรุงเทพฯ เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการเยือนเวียดนามของนายกรัฐมนตรีไทยครั้งนี้นาย สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยเผยว่า “การเยือนครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเอง เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน การค้าขายร่วมกัน การลงทุน แล้วก็เรื่องพลังงานบ้างหลายๆเรื่อง”
เวียดนามและไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ปี 1976 ซึ่งในตลอด 35 ปีที่ผ่านมา ได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง การป้องกันประเทศ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว พร้อมทั้งมีการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูงต่างๆ โดยเฉพาะความร่วมมือในการลาดตระเวนในทะเลได้กลายเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศอื่นๆ ส่วนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าในปี 2011 มูลค่าการค้าต่างตอบแทนจะบรรลุกว่า 9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 10 ในจำนวนประเทศที่ลงทุนในเวียดนามโดยมี 246 โครงการและมีเงินทุนจดทะเบียนรวมกว่า 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุวน.ประจำกรุงเทพฯรายงานว่า ในสองวันที่ผ่านมา สื่อต่างๆของไทย เช่น สถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS สำนักข่าวไทยและหนังสือพิมมติชน เป็นต้นได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการเยือนเวียดนามของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯไทยและผลการเยือนดังกล่าวโดยสถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่ง่ประเทศไทยได้ รายงานว่า การเยือนเวียดนามของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ผู้นำทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องกันในหลายด้าน รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับเวียดนาม การจัดประชุมร่วมในด้านเศรษกิจ การเมือง ความมั่นคงและการเกษตร ตลอดจนหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านข้าว การเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในเขตอนุภูมิภาคแม่น้ำ โขงและการใช้ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกร่วมกัน เป็นต้น เช่น สถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่งประเทศไทย สถานีโทรทัศน์ ThaiPBS สำนักข่าวไทยและหนังสือพิมมติชน เป็นต้นได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการเยือนเวียดนามของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯไทยและผลการเยือนดังกล่าวโดยสถานีโทรทัศน์และวิทยุแห่ง่ประเทศไทยได้ รายงานว่า การเยือนเวียดนามของนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ผู้นำทั้งสองประเทศได้เห็นพ้องกันในหลายด้าน รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างไทยกับเวียดนาม การจัดประชุมร่วมในด้านเศรษกิจ การเมือง ความมั่นคงและการเกษตร ตลอดจนหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านข้าว การเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในเขตอนุภูมิภาคแม่น้ำ โขงและการใช้ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกร่วมกัน เป็นต้น./.