ในการกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุม ประธานประเทศเวียดนาม เลืองเกื่อง ได้ย้ำว่า เวียดนามกำลังย่างเข้าสู่ศักราชใหม่ด้วยสถานะใหม่ ความปรารถนาที่เข้มแข็งเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองและผาสุกด้วยความเชื่อมั่นต่ออนาคตที่สดใส เวียดนามสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและบทบาทการเป็นศูนย์กลางขององค์การการค้าโลก โดยจะ มีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อเวทีการเมือง เศรษฐกิจโลกและอารยธรรมของมนุษยชาติบนเจตนารมณ์แห่งการเป็นเพื่อน เป็นหุ้นส่วนที่น่าไว้วางใจและเป็นสมาชิกที่มีการเข้าร่วมอย่างเข้มแข็ง มีความรับผิดชอบในประชาคมโลก พร้อมทั้งกล่าวถึงความได้เปรียบที่สำคัญของเศรษฐกิจเวียดนามคือ มี สถานะทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เศรษฐกิจมีความคล่องตัว ผสมผสานด้วยการเป็นภาคีข้อตกลงการค้าเสรี 17 ฉบับ เวียดนามเป็นตลาดใหญ่และมีศักยภาพ เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจในกระบวนการโยกย้ายห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค เวียดนามกำลังมุ่งสร้างสรรค์ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ปรับเปลี่ยนจากการที่ยังไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หรือเศรษฐกิจสีเขียว  (Brown Economy เป็น Green Economy) ส่งเสริมการประกอบธุรกิจสตาร์ทอัพและนวัตกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ ประธานประเทศ เลืองเกื่อง ได้ย้ำว่า 

“ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เศรษฐกิจเวียดนามได้บรรลุอันเนื่องมาจากส่วนหนึ่งที่สำคัญคือ ความเชื่อมั่นของสถานประกอบการและนักลงทุนต่างประเทศ ผมหวังว่า บรรดาสถานประกอบการและนักลงทุนต่างประเทศจะเดินพร้อมกับเวียดนามต่อไป การพัฒนาที่เข้มแข็งของเวียดนามจะเปิดโอกาสใหม่ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่สถานประกอบการและนักลงทุนทั้งภายในต่างประเทศ ทั้งในด้านการค้า อุตสาหกรรม การเกษตร การท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์และอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เป็นต้น”

 ประธานประเทศ เลืองเกื่อง ยังยืนยันว่า ในสภาวการณ์ที่เกิดความผันผวนต่างๆในโลก ภัยคุกคามจากการคุ้มครองและการแบ่งขั้ว เอเปกต้องส่งเสริมการเป็นสะพานเชื่อม ผลักดันความร่วมมือระหว่างบรรดาประเทศสมาชิกเพื่อสร้างสรรค์ระบบธรรมาภิบาลเศรษฐกิจโลกที่โปร่งใส ยุติธรรม ค้ำประกันผลประโยชน์ที่สมดุลย์ของทุกฝ่าย ซึ่งบทปราศรัยของประธานประเทศ เลืองเกื่องได้รับการชื่นชมจากบรรดาผู้นำเอเปกและชมรมสถานประกอบการ.