เวียดนามขยายสัมพันธไมตรี เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับ 3 ประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียน
(VOVworld) – ท่าน ห่ากิมหงอก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้เดินทางไปเยือนประเทศเว เนซูเอล่า โคลัมเบียและโดมินิกันเพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีและขยายความสัมพันธ์ด้าน เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับ 3 ประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียน
ท่าน ห่ากิมหงอก รัฐมนตรีช่วยว่า
การกระทรวงการต่างประเทศ
|
(VOVworld) – ในระหว่างวันที่ 4-12 พฤษภาคม ท่าน ห่ากิมหงอก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามได้เดินทางไปเยือนประเทศเวเนซูเอล่า โคลัมเบียและโดมินิกันเพื่อเสริมสร้างสัมพันธไมตรีและขยายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนกับ 3 ประเทศในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนโดยที่ประเทศเวเนซูเอล่า ในฐานะทูตพิเศษของนายกรัฐมนตรี ท่าน ห่ากิมหงอกได้ให้การต้อนรับท่าน Rafael Ramirez รองประธานสภารัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงน้ำมันและเหมืองและท่าน Elias Jaua รองสภารัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อีกทั้งเป็นประธานร่วมในการประชุมระหว่างกระทรวงและหน่วยงานของทั้งสองประเทศโดยในการพบปะ ผู้นำของเวเนซูเอล่าได้ยืนยันว่า รัฐบาลเวเนซูเอล่าให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์ในทุกด้านกับเวียดนาม ขยายและอำนวยความสะดวกให้แก่โครงการร่วมมือระหว่างสองฝ่าย พร้อมทั้งเห็นพ้องกับมาตรการต่างๆ เช่นการแลกเปลี่ยนคณะ การรำลึก 25 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ปรับปรุงกรอบทางนิตินัยของความสัมพันธ์ให้มีความสมบูรณ์ ทั้งสองฝ่ายยังหารือเกี่ยวกับปัญหาในภูมิภาคและโลก ยืนยันธำรงความร่วมมือและสนับสนุนกันในฟอรั่มทั้งในระดับภูมิภาคและโลก เช่น สหประชาชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ความร่วมมือใต้-ใต้ ส่วนที่โคลัมเบียและสาธารณรัฐโดมินิกา ท่าน ห่ากิมหงอกได้ให้การต้อนรับเลขาธิการพรรคขบวนการฝ่ายซ้ายเอกภาพสาธารณรัฐโดมินิกันหรือ MIU พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคแรงงานโดมินิกันโดยในการพบปะ ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำว่า ต้องขยายความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนให้จริงจังและมีประสิทธิภาพ ให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อการเลือกโครงการที่สอดคล้องกับความต้องการและศักยภาพของทั้งสองฝ่ายและนำประโยชน์ให้แก่ทั้งสองฝ่าย เช่น การค้า การปลูกข้าว การเพาะเลี้ยงกุ้ง กาแฟ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน น้ำมันและโทรคมนาคม
สำหรับสถานการณ์ในทะเลตะวันออกเมื่อเร็วๆนี้ ผู้นำและสำนักงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสามประเทศต่างแสดงความวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์ตึงเครียดในทะเลตะวันออก ย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขการพิพาทระหว่างประเทศผ่านการสนทนาที่สันติ ไม่ใช้ความรุนแรงหรือข่มขู่ที่จะใช้ความรุนแรงบนพื้นฐานการให้ความเคารพกฎหมายสากล รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับกฎหมายทางทะเลปี 1982./.