(VOVWORLD) - การพบปะที่ได้รับการรอคอยมากที่สุดในฤดูร้อนนี้ระหว่างประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีเมียร์ ปูตินกับประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ณ ประเทศฟินแลนด์ได้บรรลุผลงานเกินกว่าความคาดหวัง โดยทั้งสองฝ่ายได้บรรลุความเห็นพ้องเกี่ยวกับปัญหาสำคัญๆ บรรดาผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความคาดหวังว่า ผลการพบปะนี้คือพื้นฐานเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐก้าวเข้าสู่หน้าใหม่ และฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อสามารถร่วมมือกัน
การพบปะสุดยอดระหว่างผู้นำหสรัฐลและรัสเซีย (Guardian)
|
ในการเจรจาที่มีขึ้นหลายชั่วโมง ณ ประเทศฟินแลนด์ ผู้นำรัสเซียและสหรัฐได้หารือถึงปัญหาที่ร้อนระอุในความสัมพันธ์ทวิภาคีและปัญหาระหว่างประเทศต่างๆ รวมทั้งเรื่องมีการกล่าวหารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ การที่รัสเซียพร้อมขยายระยะเวลาการปฏิบัติสนธิสัญญาลดอาวุธนิวโจมตียุทธศาสตร์ใหม่ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียหรือ New START การแก้ไขวิกฤตในซีเรีย ปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านและปัญหาบนคาบสมุทรเกาหลี
อาจกล่าวได้ว่า เนื้อหาที่ถูกนำมาหารือค่อนข้างรอบด้านและเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐในปัจจุบัน
บรรลุความเห็นพ้องเกี่ยวกับปัญหาหลัก
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังการพบปะ สามารถเห็นได้ว่า ผู้นำรัสเซียและสหรัฐได้บรรลุความเห็นพ้องในหลายด้าน ที่น่าสนใจที่สุดคือต่อข้อกล่าวหาว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประธานาธิบดีสหรัฐได้สร้างความแปลกใจให้กับวงการนักการเมืองสหรัฐเมื่อกล่าวว่า รัสเซียไม่ได้แทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐเหมือนที่ถูกกล่าวหา และย้ำว่า การเรียกร้องให้เปิดการสอบสวนเรื่องนี้คือสิ่งที่เลวร้าย โดยเฉพาะ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่า ไม่เคยมองประธานาธิบดี ปูตินเป็นศัตรู หากแต่เป็นคู่แข่งที่ดี และจะมีการพบปะอย่างสร้างสรรค์กับนาย ปูติน ต่อไปในอนาคต
สำหรับความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลุ่มปฏิบัติงานร่วมเพื่อระดมการเข้าร่วมของนักธุรกิจใหญ่ๆของทั้งสองประเทศ ยืนยันถึงความสำคัญของความร่วมมือต่อไปในการวิเคราะห์เอกสารทางการเมืองและการทหาร พร้อมทั้งเสนอให้จัดตั้งกลุ่มปฏิบัติงานร่วมเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ฝ่ายรัสเซียได้เสนอความร่วมมือกับสหรัฐในด้านการรักษาเสถียรภาพยุทธศาสตร์และไม่เผยแพร่อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง อีกทั้งแสดงความพร้อมที่จะขยายระยะเวลาการปฏิบัติสนธิสัญญาลดอาวุธโจมตียุทธศาสตร์ฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียหรือ New START เพื่อจำกัดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ และจัดตั้งกลไกการตรวจสอบใหม่ ซึ่งจะหมดอายุในปี ๒๐๒๑
สำหรับปัญหาระหว่างประเทศ รวมทั้งสถานการณ์ในซีเรีย ผู้นำรัสเซียได้ประเมินว่า มอสโคว์และวอชิงตันสามารถมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรมในซีเรีย ผู้นำรัสเซียและสหรัฐยังหารือเกี่ยวกับปัญหาอิหร่าน การปฏิบัติข้อตกลงทำลายขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลาง ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีเมียร์ ปูติน ได้ชื่นชมก้าวเดินที่มีประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีโดยมีการเข้าร่วมของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะเดียวกัน นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า นาย ปูตินและประเทศรัสเซียจะพร้อมร่วมมือกับสหรัฐเพื่อแก้ไขปัญหานิวเคลียรของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี ตลอดจนร่วมมือกับสหรัฐและอิสราเอลในการแก้ไขสถานการณ์ในซีเรีย
ซึ่งถ้าหากจะต้องประเมินภาพรวมของผลการพบปะสุดยอดรัสเซีย–สหรัฐ คำพูดที่สรุปในการพบปะของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐถือว่ามีความสมบูรณ์ที่สุดแล้วนั่นคือ “นี่เป็นความเริ่มต้นให้แก่ทุกฝ่าย” และความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะเปลี่ยนแปลงภายหลังการพบปะ ณ กรุงเฮลซิงกิ
ปฏิกิริยาในเชิงลบจากบรรดานักการเมืองสหรัฐ
ขัดกับคำประกาศและเจตนาดีของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อรัสเซีย รวมถึงนาย ปูติน บรรดานักการเมืองสหรัฐได้ตำหนิท่าทีของเจ้าของทำเนียบขาว
หลังจากการพบปะสุดยอดเสร็จสิ้นลง ส.สของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน และนักการเมืองหลายคนได้ออกมาตำหนิด้วยถ้อยคำต่างๆ เช่นน่าอับอาย อ่อนแอ เลวร้ายและรัสเซียไม่ใช่พันธมิตร บรรดาผู้นำของพรรคเดโดแครตได้จัดการแถลงข่าวเพื่อตำหนิการพบปะสุดยอด ในขณะที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ โดยตอบโต้คำประกาศของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ปฏิเสธการแทรกแซงของรัสเซียต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี ๒๐๑๖ ตลอดจนระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐ
การเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ยืนยันอีกครั้งถึงทัศนะของบรรดานักวิเคราะห์ว่า รัฐสภาสหรัฐมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย และอาจระงับการปฏิบัติข้อตกลงฉบับต่างๆที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ได้บรรลุกับรัสเซีย ดังนั้น ขณะนี้ก็ยังเร็วเกินไปเพื่อแสดงความคาดหวังต่อโครงการร่วมมือระหว่างรัสเซียกับสหรัฐในเวลาที่จะถึง แต่อย่างไรก็ตาม การพบปะสุดยอดระหว่างนาย วลาดีเมียร์ ปูตินกับนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเป็นก้าวเดินที่จำเป็นเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างสหรัฐกับรัสเซีย ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาที่ร้อนระอุต่างๆของโลก.