ในรายงานทั่วโลกปี2019 ที่ประกาศเมื่อเดือนมกราคมปี2019 องค์การติดตามด้านมนุษยชน-ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ ได้กล่าวหาว่าสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเวียดนามกำลังเลวร้ายลงและเวียดนามได้ละเมิดสิทธิด้านพลเรือนและการเมืองขั้นพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นสิทธิการแสดงความคิดเห็น สิทธิเสรีภาพด้านสื่อมวลชนและการเข้าถึงข้อมูล สิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งกลุ่มหรือสิทธิเสรีภาพด้านศาสนา
นาง Caitlin Wiesen ผู้อำนวยการยูเอ็นดีพีประจำเวียดนาม |
คารมที่บิดเบือนความจริงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนาม
ทั้งนี้รายงานทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ไม่ได้เอื้อให้แก่การพัฒนาสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเพราะอันที่จริง ความคืบหน้าด้านการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในเวียดนามได้เป็นที่รับทราบและประเมินอย่างเป็นรูปธรรมจากองค์การระหว่างประเทศและสหประชาชาติ ซึ่งในสาส์นล่าสุดที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติหรือยูเอ็นดีพีประกาศเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วได้ระบุว่า “เวียดนามกำลังมีความคืบหน้าในการพัฒนามนุษย์และลดความยากจนในทุกมิติถึงแม้จะยังคงต้องรับมือแก้ไขความท้าทายในการลดช่องว่างระดับการพัฒนาระหว่างภาคและชุมชน การลดช่องว่างในปัญหาทางเพศ การแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ๊อกไซต์และความหลากหลายทางชีวภาพ โดยนาง Caitlin Wiesen ผู้อำนวยการยูเอ็นดีพีประจำเวียดนามเผยว่า “เวียดนามสามารถภูมิใจกับความคืบหน้าที่ได้บรรลุในการลดความยากจนในหลายมิติ ซึ่งช่วยให้ผู้ยากจนกว่า6ล้านคนก้าวพ้นจากภาวะนี้ในตลอด4ปีตั้งแต่ปี2012-2016 ตามมาตรฐานความยากจนในหลายมิติแห่งชาติ” ซึ่งในดัชนีการพัฒนามนุษย์นั้น เวียดนามสามารถปฏิบัติได้ดีในด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยอายุไขเฉลี่ยของคนเวียดนามอยู่ที่76.5ปี สูงเป็นอันดับ2ของเอเชียแปซิฟิกรองจากสาธารณรัฐเกาหลี ช่วงเวลาสำหรับการศึกษาเล่าเรียนของคนเวียดนามโดยเฉลี่ยอยู่ที่8.2ปีซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก
เมื่อยกตัวอย่างความพยายามของเวียดนามในการค้ำประกันสิทธิมนุษยชนให้แก่คนทุกภาคส่วนใน สังคม นาง Caitlin Wiesen ผู้อำนวยการยูเอ็นดีพีประจำเวียดนามประเมินค่าสูงต่อการที่เวียดนามได้กำหนดกลไกที่ชัดเจนและเสมอต้นเสมอปลายในการปฏิบัติข้อเสนอต่างๆในกลไกการตรวจสอบทั้วไปเป็นประจำหรือยูพีอาร์ หรือการที่เวียดนามให้สัตยาบันอนุสัญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน รวมทั้งอนุสัญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับสิทธิของคนพิการปี2014
ส่วนนาย Scott Ciment ที่ปรึกษาด้านนโยบายทางกฎหมายของยูเอ็นดีพีประจำเวียดนามได้กล่าวว่า เวียดนามเป็นภาคีของ7ใน9อนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และนี่คือจุดสำคัญ รวมถึงการปรับปรุงต่างๆในประมวลกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่งและกฎหมายอีกหลายฉบับก็เป็นก้าวพัฒนาใหม่ในการค้ำประกันสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม ซึ่งนาย Scott Ciment ยืนยันว่า “ผมเห็นว่าเวียดนามได้บรรลุผลงานที่น่าภาคภูมิใจในด้านสิทธิมนุษยชน ควบคู่กันนั้นเวียดนามยังผลักดันกิจกรรมความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านนี้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเวียดนามมีความมุ่งมั่นและจริงจังในการปฏิบัติเพื่อค้ำประกันสิทธิของพลเมืองประเทศตน”
ทั้งนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การประเมินขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆในเวียดนามถือเป็นการตอบโต้ต่อคารมที่บิดเบือนและใส่ร้ายป้ายสีของ ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์เกี่ยวกับการพัฒนาสิทธิมนุษยชนในเวียดนาม
ผลงานด้านสิทธิมนุษยชนส่งเสริมให้เวียดนามผสมผสาน
ในขณะเดียวกัน นาย Tom malinowski อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐดูแลปัญหาประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแรงงานเคยย้ำว่า เวียดนามได้บรรลุความคืบหน้าในการปฏิบัติ สิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะการที่รัฐบาลได้อนุมัติอนุสัญญาระหว่างประเทศที่สำคัญ2ฉบับคือ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ ซึ่งนับเป็นเงื่อนไขที่สะดวกเพื่อให้เวียดนามผสมผสานเข้ากับโลกได้กว้างลึกมากขึ้น แต่เป็นที่น่าขบขันคือในรายงานฉบับดังกล่าว ฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ กลับออกมาเรียกร้องให้สภายุโรประงับการอนุมัติข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม-ยุโรปหรืออีวีเอฟทีเอ “ไปจนกว่ารัฐบาลเวียดนามจะปฏิบัติก้าวเดินที่เป็นรูปธรรมเพื่อปรับปรุงเอกสารข้อมูลสถานการณ์สิทธิมนุษยชน”
ทั้งนี้ขอยืนยันว่า ปัจจุบันเวียดนามกำลังผสมผสานอย่างกว้างลึกเข้ากับเศรษฐกิจโลกและได้บรรลุผลงานที่โดดเด่นต่างๆรวมทั้งผลงานด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งทำให้เวียดนามได้กลายเป็นจุดนัดพบ เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจของนักลงทุนก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีภาวะวิสัยตามกฎแห่งธรรมชาติ ส่วนคารมที่ใส่ร้ายป้ายสีมุ่งกล่าวหาและก่อแรงกดดันเพื่อมุ่งแทรกแซงหรือขัดขวางกิจกรรมด้านการต่างประเทศของเวียดนามมีแต่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว การถูกโดดเดี่ยวขององค์การฮิวแมน ไรทส์ วอทช์ต่อแนวโน้มการพัฒนาใหม่และความจริงที่ไม่อาจปัดปฏิเสธได้เกี่ยวกับประเทศและผลสำเร็จในการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเป็นอันขาด.