การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้มีขึ้นในทุกด้าน โดยในภาคการเกษตรได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.77 ภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างมีการขยายตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อน ซึ่งได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนแถวหน้าในการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ ส่วนอัตราการขยายตัวของภาคบริการแม้ว่าจะต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของจีดีพีแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

พลังขับเคลื่อนของการขยายตัวใน 9 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่มาจากการฟื้นตัวและการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปและการผลิต ควบคู่กันนั้นคือการขยายตัวอย่างรวดเร็วในการผลิตและการส่งออกของสถานประกอบการที่มีเงินทุนจากต่างประเทศ ส่วนการบริโภคภายในประเทศ กำลังซื้อและอุปสงค์ก็ดีขึ้นเนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค รวมไปถึงการฟื้นตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการควบคุมภาวะเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ

นโยบายการเงินได้รับการควบคุมตามภาวะเงินเฟ้อขั้นพื้นฐาน ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2-3 ถือว่าเหมาะสม เพราะว่าช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาคและการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

แนวโน้มการประกอบธุรกิจของสถานประกอบการก็สะท้อนสัญญาณที่น่ายินดี โดยใน 9 เดือนที่ผ่านมา มีการจดทะเบียนจัดตั้งสถานประกอบการใหม่ 68,000 แห่ง ส่วนจำนวนเงินทุนจดทะเบียนและจำนวนสถานประกอบการที่กลับมาประกอบธุรกิจอีกครั้งก็เพิ่มขึ้นในระดับสูงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แหล่งเงินสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้สร้างพลังขับเคลื่อนให้แก่การผลิตของสถานประกอบการ นายเหงียนตู้แอง หัวหน้าคณะกรรมการวิจัยเศรษฐกิจมหภาคสังกัดสถาบันวิจัยการบริหารเศรษฐกิจส่วนกลางหรือ CIEM เผยว่า “ใน 9 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิต นี่คือแนวทางที่ถูกต้อง พลังขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวสูงสะท้อนจากปัจจัย 2 ประการที่มีสัญญาณที่น่ายินดีได้แก่อุปสงค์และอุปทาน ในด้านอุปทาน มีการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของการลงทุน ในด้านอุปสงค์ ใน 9 เดือนที่ผ่านมา มูลค่าการขายปลีก การบริการและสินค้าได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 5 ปี ถ้ามองในส่วนลึก การฟื้นตัวด้านอุปสงค์และอุปทานเป็นผลมาจากการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งสร้างเสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจมหภาค ตั้งแต่ปี 2011 มาจนถึงปัจจุบัน เราสามารถรักษาอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจมหภาคได้ดี ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ตลาด ซึ่งก็คือนักลงทุนและผู้บริโภค”

ในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2015 คาดว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะมีการฟื้นตัวต่อไป มีความเป็นไปได้สูงที่การขยายตัวเศรษฐกิจของปีนี้จะอยู่ที่ร้อยละ 6.5 โดยอัตราการขยายตัวในไตรมาสที่ 4 จะสูงที่สุดของปีเพราะมูลค่าการส่งออกและการใช้จ่ายภายในประเทศในช่วงปลายปีที่เพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรลุอัตราการขยายตัวดังกล่าว จำเป็นต้องปฏิบัติมาตรการแก้ไขอย่างพร้อมเพรียง รวมทั้งการปรับดอกเบี้ยและอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเวียดนาม รัฐบาลต้องผลักดันการปรับปรุงโครงสร้างสถานประกอบการภาครัฐ โดยเน้นการแปรให้เป็นบริษัทหุ้นส่วน เปลี่ยนแปลงใหม่เทคโนโลยี ยกระดับผลผลิตของหน่วยงานที่มีสัดส่วนในการส่งออกสูง ส่วนกระทรวง หน่วยงานและสถานประกอบการต้องปรับปรุงบรรยากาศการประกอบธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามและอำนวยความสะดวกให้แก่การค้า นายเหงียนตู้แอง วิเคราะห์ว่า “ตัวเลขร้อยละ 6.5 ถือว่าน่ายินดีมาก แต่ถ้าหากพวกเราอยากพัฒนามากกว่านี้ เราต้องรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวแปรในการจัดสรรแหล่งพลังต่างๆ ส่วนรัฐต้องสร้างบรรยากาศการแข่งขันและสนับสนุนตลาดเท่านั้น”

การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งใน 5 เป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย การขยายตัว เงินเฟ้อ ดุลของการชำระ คนว่างงาน ความหิวโหยและคนจน การที่จีดีพีของเวียดนามอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ใน 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายปีมานี้ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่น่ายินดีของเศรษฐกิจเท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นว่า เวียดนามกำลังทำการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างถูกทิศทาง.