ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตที่จัดโดยมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์และโรงพยาบาลเภสัชในนครโฮจิมินห์ (VNA)

การบริจาคโลหิตเพื่อมนุษยธรรมถือเป็นหนึ่งในการกระทำอันสูงส่งของมนุษย์ต่อมนุษย์ และได้รับการขยายผลใน 63 จังหวัดและนครทั่วประเทศเป็นเวลาหลายปี จากการตระหนักได้ดีว่า การบริจาคโลหิตเป็นกิจกรรมที่มีความหมายด้านมนุษยธรรมอย่างลึกซึ้ง "ทุกหยดเลือดที่มอบให้ ชีวิตยังคงอยู่" ดังนั้น การบริจาคโลหิตจึงกลายเป็นจิตสำนึกของทุกคน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวจำนวนมากในปัจจุบัน นาย เหงียนแองต๊วน ผู้บริจาคโลหิต 20 ครั้ง และนาย เหงียนดึ๊กถ่วน ผู้บริจาคโลหิต 15 ครั้งเล่าว่า

- ผมบริจาคโลหิตครั้งแรกเมื่อปี 2009 ตามคำเรียกร้องของกองเยาวชน จนถึงปัจจุบัน ผมยังคงบริจาคโลหิตต่อไป

- ผมเห็นว่า การบริจาคโลหิตเป็นการกระทำที่มีประโยชน์มากสำหรับชุมชน หยดเลือดที่ผมให้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยและชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ

ทุกปี มีจิตอาสานับล้านคนบริจาคโลหิต ซึ่งช่วยให้หน่วยงานสาธารณสุขฟันฝ่าวิกฤตของการขาดแคลนโลหิตหลายครั้ง หยดเลือดแต่ละหยดที่ได้รับบริจาคไม่เพียงแต่ช่วยรักษาชีวิตเท่านั้น หากยังเป็นหัวใจแห่งความรักใคร่ และให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย นาย เลยาเตี๊ยน ปลัดสำนักงานชี้นำแห่งชาติเกี่ยวกับการรณรงค์บริจาคโลหิตได้เผยว่า

“ในหลายปีที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งสโมสรรณรงค์บริจาคโลหิตหลายแห่ง จนถึงปัจจุบัน ทั่วประเทศมีสโมสรและกลุ่มบริจาคโลหิตกว่า 4,000 แห่ง ซึ่งเป็นกองกำลังหลักในการบริจาคโลหิตและการรณรงค์บริจาคโลหิต”

การบริจาคโลหิตเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ กิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากสังคม ดึงดูดจิตอาสาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น ขบวนการจิตอาสาอื่นๆยังได้รับการจัดตั้งขึ้นในหลายด้านของชีวิตด้วยกิจกรรมที่หลากหลายและมีความคิดสร้างสรรค์ เช่น อาสาสมัครเดินหน้าปกป้องอธิปไตยของชายแดน ทะเลและเกาะแก่ง การสร้างสรรค์ชนบทใหม่ การสร้างสรรค์ตัวเมืองที่มีอารยธรรม การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การป้องกันและรับมือภัยธรรมชาติ โรคระบาด การรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความปลอดภัยของการจราจร การช่วยเหลือในฤดูกาลสอบ การช่วยเหลือคนพิการและเด็กกำพร้า โดยเฉพาะ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก กิจกรรมจิตอาสาก็ได้รับการขยายผลอย่างงกว้างขวางมากขึ้น

การมีส่วนร่วมของบรรจิตอาสาได้ช่วยขยายผลคุณค่าแห่งความเมตตาไปสู่ชุมชน นาย เหงียนจุงแถ่ง หนึ่งในตัวอย่างดีเด่นที่มีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาในนครเกิ่นเทอ นอกจากการลงทะเบียนเป็นอาสาสมัครช่วยเหลืองานด้านการป้องกันและควบคุมโรคระบาดในท้องถิ่นแล้ว เขายังใช้เงินออมทั้งหมดเพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นเพื่อมอบให้แก่ครอบครัวที่มีฐานะยากจนในเขตชุมชน นาย เหงียนจุงแถ่ง เผยว่า

“จิตอาสาอยู่ที่ใจผม ผมทำเอง ไม่มีใครมาชักชวน เมื่อผมทำงานนี้ ผมมีความสุขมาก เพราะผู้ที่ได้รับสิ่งของช่วยเหลือที่จำเป็นจะฟันฝ่าความยากลำบากได้บางส่วนในช่วงเกิดการแพร่ระบาด ผมมีฐานะที่ดีกว่าพวกเขา ดังนั้น การพยายามช่วยเหลือพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ”

อาสาสมัครเข้าร่วมในการรับมือโรคระบาด (hanoimoi.com.vn)

สำหรับอาสาสมัคร สิ่งที่ทำให้มีความสุขมากที่สุดคือการนำพลังของตัวเองมาแบ่งเบาและช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อให้ทุกคนมีความสุข ดังนั้นทุกคนสามารถเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาได้ ช่วยเหลือชุมชนและสังคมด้วยวิธีที่หลากหลายตามความสามารถของตน ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19  พร้อมกับเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข นักเรียน บรรดาภิกษุณีและพระสงฆ์ทั่วประเทศได้ลงทะเบียนอาสาเข้าร่วมการต่อสู้กับโรคระบาดด้วยความปรารถนาที่จะให้กำลังใจ นำพลังบวกให้สู่ผู้ป่วยและแพทย์ที่อยู่แนวหน้าในการรับมือโรคระบาด โดยเหล่าจิตอาสาที่นับถือศาสนาหลายร้อยคนได้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยตรงเพื่อสนับสนุนแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ ในห้องรักษาผู้ป่วยอาการหนักที่ไม่สามารถติดต่อพูดคุยโดยตรงกับครอบครัวได้ บรรดาจิตอาสาที่นับถือศาสนาได้ช่วยปลอบโยนและให้กำลังใจผู้ป่วย

- ถ้ามีโอกาสผม/ฉันจะเข้าร่วมกิจกิจกรรมจิตอาสา ช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล ทำความสะอาดหรือดูแลผู้ป่วย งานใด ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ผม/ฉันสามารถทำได้ 

- นักบวชคาทอลิกเข้าร่วมกิจกรรมอาสาเพื่อส่งต่อความรักใคร่ให้แก่ผู้ป่วย ปกติทำงาน 4-5 ชั่วโมง ทำงานเหมือนพยาบาล การได้เห็นผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด      

ด้วยจิตใจที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นทุ่มเททำงานและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากบวกกับความเห็นอกเห็นใจและความรัก สิ่งเหล่านี้เป็นพลังที่ช่วยให้บรรดาจิตอาสาทำงานเพื่อสังคมอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อเรามอบความรักและช่วยเหลือคนอื่นเราก็จะได้รับความสุขกลับมาเป็นการตอบแทน นั่นคือความคิดของเหล่าจิตอาสาที่เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อชุมชน และจิตใจนี้จะยังคงขยายผลไปสู่คนเวียดนามรุ่นต่อๆ ไป.