พบปะกับนายทหารอเมริกันบนเครื่องบินบี ๕๒ ลำแรกที่ถูกยิงตกกลางท้องฟ้าฮานอย
( VOV )-๔๐ ปีได้ผ่านไปแต่ความหวาดผวาในคืนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๑๙๗๒ ยังคงหลอดหลอนหลวงพ่อโรเบอร์ต เซอร์เติ้น วัย ๖๕ ซึ่งภาพ คำพูดและอิริยาบถในคืนนั้นยังสถิตอยู่ในความทรงจำของท่านมาตราบเท่าทุกวันนี้ คืนวันที่ ๑๘ ธันวาคมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของนายทหารนำทางบนเครื่องบินบี ๕๒ ลำแรกที่ถูกยิงตกกลางท้องฟ้านครหลวงฮานอย ในยุทธนาการเดียนเบียนฟูกลางเวหา ๑๒ วันคืนของกองทัพและประชาชนเวียดนาม
( VOV )-๔๐ ปีได้ผ่านไปแต่ความหวาดผวาในคืนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๑๙๗๒ ยังคงหลอดหลอนหลวงพ่อโรเบอร์ต เซอร์เติ้น วัย ๖๕ ซึ่งภาพ คำพูดและอิริยาบถในคืนนั้นยังสถิตอยู่ในความทรงจำของท่านมาตราบเท่าทุกวันนี้ คืนวันที่ ๑๘ ธันวาคมได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของนายทหารนำทางบนเครื่องบินบี ๕๒ ลำแรกที่ถูกยิงตกกลางท้องฟ้านครหลวงฮานอย ในยุทธนาการเดียนเบียนฟูกลางเวหา ๑๒ วันคืนของกองทัพและประชาชนเวียดนาม
|
หลวงพ่อ Rorbert Certainกับผู้สื่่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามประจำสหรัฐอเมริกา |
นายโรเบอร์ตเซอร์เต้นเกิดปี ๑๙๔๗ ณ มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อเรียนจบวิทยาลัย เขาได้เข้าประจำการทหาร สังกัดกองทัพอากาศและกลายเป็นนายทหารนำทางบนเครื่องบินบี ๕๒ ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ทันสมัยที่สุดของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้นและได้ถือว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถสยบได้ นายโรเบอร์ตถูกส่งไปยังเวียดนามและรับคำสั่งออกศึกทิ้งระเบิดปูพรมฮานอยตามยุทธนาการไลเนอบากเกอร์-๒ ปลายเดือนธันวาคมปี ๑๙๗๒ แม้จะมั่นใจในเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีสมรรถภาพในการทำลายล้างอย่างสูงของกองทัพตน แต่ความหวาดกลัวยังคงหลอกหลอนนายทหารนำทางอายุ ๒๕ ปีตลอด ๘ ชั่วโมงบินจากเกาะกวมนอกฝั่งทะเลแปซิฟิกมายังกรุงฮานอย ซึ่งยามนั้นฮานอยได้เตรียมพร้อมรบด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นจรวดพื้นสู่อากาศแซม-๒ กับเครื่องบินประจัญบานมิก แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือ จิตใจแห่งความทรหดเด็ดเดี่ยวของทหารและชาวเวียดนามโดยเฉพาะชาวฮานอยซึ่งเป็นเกียรติประวัติที่ไม่เคยยอมจำนนไม่ว่าศัตรูผู้รุกรานใดๆเพื่อปกป้องมาตุภูมิ นายโรเบอร์ตเล่าว่า “ เมื่อเข้าใกล้เป้าหมายแล้ว ตามกำหนดพวกเราได้เปิดช่องบรรจุระเบิดของเครื่องบินก่อนการทิ้งระเบิดประมาณ ๑๕ วินาที แต่เพียง ๕ วินาทีแรกเครื่องบินของผมถูกยิงโต้ตอบด้วยจรวดแซม-๒ จำนวนสองลูก ซึ่งจรวดดังกล่าวระเบิดใกล้กับเครื่องบินของผมทำให้โดนสะเก็ดจรวดและเครื่องยนต์ ๔ เครื่องทางซ้ายของเครื่องบินได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่บนเครื่องบินสองนายได้รับบาดเจ็บสาหัส เครื่องบินเริ่มลุกไหม้และอาจจะระเบิด ดังนั้น พวกเราต้องหนีออกจากเครื่องบินทันที ”
|
ถนนเคิมเทียนกลายเป็นซากปรักหักพัง |
นายโรเบอร์ตได้กระโดดร่มลงในพื้นที่นาที่ติดกับคลองแห้งขอด แต่ถูกพบเห็นจากสตรีคนหนึ่งและอีกไม่นานเขาถูกล้อมรอบด้วยชาวบ้านจำนวนมากพร้อมเสียงตะโกนแสดงความโกรธแค้น นายโรเบิอร์ตเล่าว่า เขาหวาดกลัวมากและนึกถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดกำลังรอคอยตนอยู่ แต่ในทางกลับกัน เขาได้รับการปฏิบัติย่างดี “ ชาวบ้านแสดงออกถึงความโกรธแค้น แต่ทหารท้องถิ่นได้ปกป้องผม ผมถูกส่งไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นกำลังจดข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับผม ขณะนั้น ชาวบ้านที่รออยู่ด้านนอกไม่แสดงท่าที่ที่เป็นอริต่อผมอีก ส่วนทหารท้องถิ่นได้ปิดหน้าต่างด้วยโต๊ะหลายอันเพื่อป้องกันการขว้างปาของใส่ผมจากด้านนอก จากนั้นผมถูกส่งไปยังเรือนจำหว่าหล่อโดยข้ามแม่น้ำห่งหรือแม่น้ำแดงจากท่าเรือแพขนานยนต์ ขณะนั้นผมรู้สึกกลัวมากและทำใจพร้อมรับมือกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดต่อตนเองไม่ว่าจะเป็นการสอบปากคำและการทารุณกรรม แต่สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ”
นายโรเบอร์ตถูกคุมขังในเรือนจำประมาณ ๑๐๐ วันแล้วได้รับการปล่อยตัวตามข้อกำหนดของข้อตกลงปารีสปี ๑๙๗๓ เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเชลยศึก เขากลับบ้านด้วยบาดแผลทางจิตใจเหมือนกับทหารอเมริกันที่เข้าร่วมสงครามในเวียดนาม “ ผมเรียกมันว่า เป็นปีศาจคริสต์มาสในอดีต หลังจากพวกเราเข้าร่วมสงครามและได้กลับบ้านก็รู้สึกทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเราได้พบเห็นความเศร้าโศกและโหดเหี้ยมที่ประชาชนคนธรรมดาไม่เคยได้เห็นนั่นคือ เพื่อนของตนเสียชีวิตในการสู้รบ พบเห็นชาวบ้านถูกฆ่าหรือตัวเองฆ่าคนอื่น ตอนเป็นเด็ก พ่อแม่ของผมมักจะสอนว่า ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ญาติมิตร เพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือทำลายเครื่องเล่นหรือทรัพย์สินของคนอื่น แต่เมื่อเข้าร่วมสงคราม สิ่งที่เราได้ทำขัดกับที่ได้รับการสั่งสอนคือ ผมได้ฆ่าคนและทำลายทรัพย์สินของคนอื่นเพื่อเป้าหมายการเมือง ผมเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ผมได้ทำนั้นส่งผลให้ทหารภาคเหนือของเวียดนามและประชาชนผู้บริสุทธิ์นับร้อยคนเสียชีวิต ดังนั้นเมื่อกลับบ้าน สิ่งที่ติดตามพวกผมมาก็คือความขัดแย้งทางคุณธรรม ”
|
ถนนเคิมเทียนในปัจจุบัน |
เมื่อกลับประเทศ นายโรเบอร์ต ได้เข้าเรียนในโรงเรียนสงฆ์ ๓ ปีและกลายเป็นหลวงพ่อ ซึ่งเขาให้เหตุผลการบวชของตนว่า เพื่อสำนึกในความผิดที่ตนเองได้ทำมา นายโรเบอร์ตเห็นว่า สงครามในเวียดนามช่วยให้เขาเข้าใจชีวิตอย่างสมบูรณ์และเรียนรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ต่างๆ ความเป็นมนุษยชาติ และเขากำหนดว่าสักวันหนึ่งจะมาเยือนเวียดนามเพื่อศึกษากระบวนการฟื้นฟูของชาวเวียดนาม ./.
ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามประจำสหรัฐ