( VOVworld )“ ภาพยนตร์หว่างซา-เวียดนามความปวดร้าวจากความสูญเสีย ” สะท้อนชีวิตที่สมถะของชาวประมงตำบลเกาะบิ่นห์โจว อำเภอบิ่นห์เซินและชาวประมงอำเภอเกาะหลีเซินในจังหวัดกว่างหงายที่ได้ออกสู่สายตาชาวฮานอยเมื่อเร็วๆนี้หลังจากที่ได้รับการฉายในบางประเทศมา ๓ ปี เรื่องราวเกี่ยวกับแม่ม่าย เด็กกำพร้าพ่อ เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อและแม่สูญเสียลูกในทะเลหว่างซาทำให้ผู้ชมกลั้นน้ำตาไม่อยู่
( VOVworld
)“ ภาพยนตร์หว่างซา-เวียดนามความปวดร้าวจากความสูญเสีย ” สะท้อนชีวิตที่สมถะของชาวประมงตำบลเกาะบิ่นห์โจว อำเภอบิ่นห์เซินและชาวประมงอำเภอเกาะหลีเซินในจังหวัดกว่างหงายที่ได้ออกสู่สายตาชาวฮานอยเมื่อเร็วๆนี้หลังจากที่ได้รับการฉายในบางประเทศมา ๓ ปี เรื่องราวเกี่ยวกับแม่ม่าย เด็กกำพร้าพ่อ เรื่องราวเกี่ยวกับพ่อและแม่สูญเสียลูกในทะเลหว่างซาทำให้ผู้ชมกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ผู้กำกับอันเดร เมนราสกำลังคุยกับตัวละคร
“ ภาพยนตร์หว่างซา-เวียดนามความปวดร้าวจากความสูญเสีย ”ที่มีความยาว๕๙ นาที เริ่มต้นด้วยเสียงขับกลอนของสตรีที่อาศัยริมฝั่งทะเลที่ว่า “ ท้องฟ้าและทะเลหว่างซาอันกว้างไกล มีคนออกทะเลแต่ไม่มีคนกลับ ”ยามรุ่งอรุณในหมู่บ้านประมงบิ่นห์โจว จังหวัดกว่างหง่าย ซึ่งทำให้บรรยากาศในห้องฉายหนังของสหพันธ์องค์การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเวียดนามเงียบสงัด เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้นำผู้ชมกลับสู่ชีวิตของชาวประมงในตำบลบิ่นห์โจวและอำเภอเกาะหลีเซินที่มีชีวิตที่ยากลำบากเพราะต้องทำมาหากินกลางทะเลเพื่อเลี้ยงชีพ นักแสดงเอกคือชาวประมง สตรีที่สามีและลูกออกทะเลทำประมงแต่ไม่มีวันกลับ คนเหล่านี้ได้เล่าเรื่องชีวิตจริงของตนเอง คุณเจิ่นถิ่งา ข้าราชการบำนาญ ที่อาศัยอยู่ในกรุงฮานอยต้องเช็ดน้ำตาหลายครั้งเพราะชีวิตที่ลำบากและโศกเศร้าของตัวละคร คุณงากล่าวว่า “ ดิฉันเห็นใจกับความปวดร้าวและความลำบากของชาวประมงภาคกลางที่ต้องทำมาหากิน ดิฉันร้องไห้เพราะสงสารพวกเขา คนเหล่านี้ยังสาวแต่ต้องสูญเสียสามีที่เป็นเสาหลักของบ้าน ที่ต้องไปทำมาหากินเลี้ยงชีพและครอบครัวเพราะสามีและบุตรต้องเสียชีวิตกลางทะเล ความปวดร้าวและโศกเศร้านี้ใหญ่หลวงมาก ”
นายอันเดร เมนราส ผู้กำกับที่ถือสองสัญชาติคือฝรั่งเศสและเวียดนาม ท่านมีชื่อเวียดนามว่า โห่เกืองเกวี้ยต เป็นนักถ่ายทำภาพยนตร์สมัครเล่นร่วมกับทีมงานได้คลุกคลีและอยู่กินกับชาวประมงตำบลบิ่นห์โจวและอำเภอเกาะหลีเซินจนสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ที่สามารถเข้าถึงหัวใจผู้ชม นายอันเดร เมนราสสามารถใช้เทคนิกต่างๆและภาษาภาพยนตร์ที่กระทัดรัดแต่สะท้อนความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง โดยท่านได้พูดคุยกับตัวละครด้วยภาษาเวียดนามอย่างเป็นกันเองและตัวละครเหล่านี้ได้เล่าเรื่องชีวิตและอาชีพของตนเอง ทั้งนี้ทำให้ภาพยนตร์มีชีวิตชีวาและสะท้อนความจริง
ผู้กำกับอันเดร เมนราสคุยกับครอบครัวชาวประมง
เสียงพูดคุยระหว่างนายอันเดรกับนายเตียวเวียดหล่าชาวประมง
คุณรู้สึกเสียดายที่ได้ออกทะเลจับปลาในบริเวณพื้นที่ทะเลหว่างซาไหม๊
หากไม่มีเงินซื้อเครื่องมือทำประมงก็รู้สึกเสียดายมาก ผมออกทะเลเพื่อทำมาหากินและปกป้องทะเลเพราะหว่างซาเป็นของเวียดนาม ดังนั้นเราต้องออกทะเลจับปลาและพิทักษ์รักษา
คุณคิดถึงหว่างซาไหม๊
คิดถึงมากครับเพราะมันอยู่ใกล้นิดเดียว
นายฝ่ามวันจูง อาจารย์มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์เห็นว่า ชาวประมงบิ่นห์โจวและหลีเซินก็เช่นเดียวกับชาวประมงเวียดนามคนอื่นๆเป็นวีรชนคนธรรมดา คนเหล่านี้ได้หว่านแหจับสัตว์น้ำและปกป้องพื้นที่ทะเลทำประมงที่ได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ นายจูงกล่าว “ ผมรูสึกสงสารแต่ก็ศรัทธาต่อความกล้าหาญและทรหดของคนเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่มีทางอื่นใดเพื่อทำมาหากิน และสิ่งที่มีค่ากว่าก็คือ พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการยืนยันอธิปไตยของเวียดนามเหนือหมู่เกาะหว่างซาหรือพาราเซล ”
ฉากที่ทำให้ผู้ชมกลั้นน้ำตาไม่อยู่คือความในใจของบรรดาแม่ม่ายในเขตชนบทยากจน ส่วนทีมถ่ายทำภาพยนตร์ก็ต้องหยุดการถ่ายทำหลายครั้งเพราะน้ำตาไหลเมื่อฟังเรื่องราวของตัวละคร คุณเหงวียนถิ่เตวี้ยตเล่าความในใจ
แม่มายตัวละคร
“ สามีของดิฉันสูญหายอย่างไร้ร่องรอยและข่าวก็ไม่มีด้วย ทิ้งลูกน้อย ๓ คนให้แก่ดิฉัน สำหรับชาวประมงนั้น สามีเป็นกำลังหลักในการทำมาหากินเพื่อประทังชีวิต บัดนี้ไม่มีสามีแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ที่ดินทำกินก็ไม่มีจึงต้องทำงานรับจ้างไปวันๆเพื่อหาเงิน ๓ หมื่นด่งเลี้ยงลูก ”
นายเหงวียนกุ๊ยเหียบ อาศัยที่เขตบาดิ่นห์ กรุงฮานอยเคยคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นสะท้อนความยากลำบากและความเหน็ดเหนื่อยของชาวประมงภาคกลางเวียดนามที่ต้องฝ่าคลื่นลมแรงในทะเลหว่างซาเพื่อทำการประมง แต่เมื่อได้ชมภาพยนตร์แล้วนายเหียบรู้สึกบอกไม่ถูกเพราะภาพเกี่ยวกับแนวหลังและครอบครัวชาวประมง นายเหียบกล่าว “ น้ำตาผมไหลไม่หยุดขณะผมชมภาพยนตร์เรื่องหว่างซา-เวียดนามความปวดร้าวจากความสูญเสีย เพราะรู้สึกสงสารประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมฝั่งทะเล คนเหล่านี้มีชีวิตที่ตรากตรำมาก ขอขอบคุณผู้กำกับที่ได้สร้างภาพเกี่ยวกับชีวิตจริงของชาวประมงในปัจจุบัน ฉากเกี่ยวกับเด็กที่ต้องสูญเสียพ่อและภรรยาอุ้มลูกพร้อมร้องไห้ทำให้ผมรู้สึกปวดใจมากๆ สามีของเธอเป็นเสาหลักของบ้านที่ทำมาหากินเลี้ยงภรรยาและลูกๆ แต่ปัจจุบันเธอต้องทำหน้าที่นี้แทนสามีเพื่อเลี้ยงดูลูกจนโต แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยาวแค่ ๕๙ นาทีเท่านั้นแต่ก็สามารถถ่ายทอดชีวิตที่ลำบากตรากตรำของชาวประมงได้หมด”
ความเศร้าโศกแสดงออกจากสายตาของแม่ม่ายที่สูญเสียสามี
ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์คือภาพสุสานท่ามกลางลมแรงและตัวหุ่นดินเหนียวที่ปั้นเหมือนหน้าตาของผู้ที่เสียชีวิตหลายตัว พร้อมเสียงขับกลอนดังขึ้นว่า “ ท้องฟ้าและทะเลหว่างซาอันกว้างใหญ่ มีคนออกทะเลแต่ไม่มีคนกลับ ” ท่านจูห่าว ศ.และนายกสมาคมมิตรภาพเวียดนาม-ฝรั่งเศสเห็นว่า “ นี่คือหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ภาพการพูดคุยระหว่างผู้กำกับกับชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นภาพการพูดคุยกับภรรยาที่สูญเสียสามีและลูกที่ต้องสูญเสียพ่อ คนเหล่านี้ต้องแบกรับความปวดร้าวโดยไม่มีใครได้รับทราบ และความปวดร้าวนี้ไม่สามารถบรรยายให้หมดได้ ”
ภาพยนตร์เรื่อง “ หว่างซา-เวียดนามความปวดร้าวจากความสูญเสีย ”ได้ปลุกเร้าจิตใจของผู้ชมทุกคนให้มีส่วนร่วมมากขึ้นและรณรงค์คนอื่นๆสนับสนุนทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจต่อครอบครัวชาวประมงที่ต้องเผชิญกับอันตรายในทุกๆวันแต่ยังคงยืนหยัดออกทะเลทำมาหากินและปกป้องเขตทะเลและเกาะแก่งของมาตุภูมิ ./.