ประมวลภาพเกี่ยวกับคุณ อภิชิต มิ่งวงศ์ธรรม หนุ่มไทยตาบอดกับการเรียนภาษาเวียดนาม
Minh Ngoc- VOV5 -  
(VOVWORLD) -คุณ อภิชิต มิ่งวงศ์ธรรม จากกรุงเทพฯได้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆและตั้งใจเรียนภาษาเวียดนามจนกลายเป็นนักศึกษาที่ทำคะแนนได้สูงสุดในการสอบเข้าคณะเวียดนามศึกษา มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์นครโฮจิมินห์เมื่อปี 2018
เมื่อเร็วๆนี้ บทความเรื่อง “เวียดนามในสายตาของคนตาบอดอย่างฉัน”ของคุณ อภิชิต มิ่งวงศ์ธรรม ได้รับรางวัลที่ 1 ในการประกวดการเขียน VSL ปี 2019 ที่จัดโดยสโมสรทูตวัฒนธรรมสังกัดคณะเวียดนามศึกษาและภาษาเวียดนาม มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย.
คุณ อภิชิต มิ่งวงศ์ธรรมเกิดวันที่ 15 มกราคม ณ ตำบลนาหว้า จังหวัดบึงกาฬ เขาตาบอดทั้งสองข้างมาตั้งแต่เกิด |
· คุณ อภิชิต เกิดในครอบครัวที่มีพ่อแม่เป็นครู มีน้องชาย 1คนและน้องสาว 1 คน
|
· ตอนคุณ อภิชิตอายุ 7 ขวบ พ่อแม่ให้เขาไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับคนตาบอดในกรุงเทพฯ แม้จะตาบอดทั้งสองข้างแต่คุณ อภิชิตก็ไม่เคยย่อท้อ เขาได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการเรียนและสามารถสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นความฝันของนักเรียนหลายคน
|
|
· หลังเรียนจบคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณ อภิชิตถามตัวเองว่า นอกจากการเรียนกฎหมายและเล่นกีตาร์ ตัวเขายังชอบอะไร ซึ่งคำตอบก็คือชอบเรียนภาษาเวียดนาม
. |
|
· คุณ อภิชิตมีความตั้งใจมาเวียดนามเพื่อเรียนภาษาเวียดนาม ภาพถ่ายนี้ถ่ายตอนที่คุณ อภิชิตอำลาครอบครัวเพื่อเรียนภาษาที่เวียดนาม
|
· คุณ อภิชิตสามารถสอบได้ระดับ 6/ 6ในการสอบทักษะความสามารถด้านภาษาเวียดนาม ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดที่ไม่ใช่ทุกๆคนจะสามารถทำได้
|
|
· ความขยันหมั่นเพียรและความรักภาษาเวียดนามได้ช่วยให้เขามีผลการเรียนดีในคณะเวียดนามศึกษา มหาวิทยาลัยสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์นครโฮจิมินห์ ซึ่งได้คะแนนสูงกว่า 9.0ในทุกวิชา
|
|
· นอกเวลาเรียน คุณ อภิชิตได้เปิดชั้นเรียนสอนภาษาไทยทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้แก่ชาวเวียดนาม ซึ่งการเปิดชั้นเรียนนี้ไม่เพียงแต่เพื่อหาเงินใช้ชีวิตในเวียดนามเท่านั้นหากยังได้เพื่อนใหม่ชาวเวียดนามอีกด้วย
|
· วิธีการสอนของคุณ อภิชิตช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจภาษาไทยได้ง่าย
|
· คุณ อภิชิตมีโอกาสพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัย บูรพา เขาอยากสร้างแรงบันดาลใจให้แก่บรรดานักศึกษาชาวไทยเกี่ยวกับการเรียนภาษาเวียดนามและความรักต่อประเทศเวียดนาม
|
Minh Ngoc- VOV5