พิธีเปิดงานแสดงสินค้าไทย ณ กรุงฮานอย

ในงานแสดงสินค้า มีการออกบูธ 150 บูธแนะนำสินค้าที่มีคุณภาพสูงของไทย เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และของที่ระลึก เป็นต้น ซึ่งดึงดูดผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมาก คุณงา อาศัยในเขตเกิ่วเยิ้ย กรุงฮานอยได้เผยว่า“ดิฉันทราบว่า มีการจัดงานแสดงสินค้าไทย ดังนั้นจึงแวะมาซื้อน้ำยาซักผ้าและน้ำยาล้างจาน ถ้ามีผลไม้และน้ำมันหอมระเหยก็จะซื้อด้วย  น้ำยาล้างจานของไทยดีมาก ไม่มีกลิ่นและไม่ระคายเคือง”

ส่วนคุณป้าหว่า อาศัยในเขตหว่างมายกำลังดูหม้อหุงข้าวที่มีราคาตั้งแต่ 5 แสนถึงกว่า 2 ล้านด่งได้บอกว่า“ในครอบครัวป้ากำลังใช้หม้อหุงข้าวโตชิบาที่ผลิตในไทยมากว่า 2 ปี แล้ว ใช้ดีมาก ป้ากำลังเลือกหม้อหุงข้าวอีกหนึ่งใบให้ครอบครัวของลูกชาย ผลิตภัณฑ์อื่นๆของไทยก็มีคุณภาพสูงและมีราคาที่เหมาะกับรายได้ของคนเวียดนาม เช่น พัดลมและรองเท้า”

ผู้ที่เข้าชมงานส่วนใหญ่สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆติดไม้ติดมือเนื่องจากคุณภาพของสินค้าไทยมีชื่อเสียง โดยสินค้าของไทยมีคุณภาพดีกว่าสินค้าจีน ราคาก็แพงกว่าเล็กน้อย ส่วนเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมายการค้าของประเทศที่พัฒนาในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและสาธารณรัฐเกาหลี สินค้าของไทยมีราคาตํ่ากว่า แต่ก็มีคุณภาพ คุณแหง อาศัยในเขตด๊งดาได้เผยว่า“ครอบครัวดิฉันได้ใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกของจีนมานานและเห็นว่า ไม่ทนทานเหมือนของไทย  ส่วนผลิตภัณฑ์ของไทยมีการออกแบบที่หลากหลายและราคาถูก ดิฉันมักจะซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถัง กะละมังและไม้แขวนเสื้อ  ซึ่งล้วนเป็นสินค้าของไทย”

ภาพในงาน

ตามข้อมูลสถิติของทบวงศุลกากรเวียดนาม ในปี 2016 มูลค่าการส่งออกนำเข้าสินค้าระหว่างเวียดนามกับไทยอยู่ที่ 12.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากไทยบรรลุ 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย เลวันหาย หัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทการค้าและการผลิตหว่านถิ่งจำกัดสาขากรุงฮานอย ซึ่งเป็นบริษัทที่นำเข้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าไทยในเวียดนามในตลอด 16 ปีได้เผยว่า“บริษัทของเราเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เป็นเครื่องหมายการค้าของไทย เช่น คุกกี้อาร์เซนอล บะหมี่ไวไว วุ้นและกะทิชาวเกาะ เป็นต้น คนเวียดนามนิยมใช้สินค้าของไทยเป็นอย่างมากเนื่องจากราคาเหมาะกับรายได้ของคนเวียดนาม ทำให้ปริมาณการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งรายได้ของสาขากรุงฮานอยเฉลี่ยอยู่ที่ 4 พันล้านด่งต่อเดือน ส่วนรายได้ของสำนักงานใหญ่ ที่นครโฮจิมินห์เฉลี่ยอยู่ที่ 2 หมื่นล้านด่ง”

ส่วนสำหรับสถานประกอบการไทย การพัฒนาคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของคนเวียดนามถือเป็นปัจจัยที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆเพื่อขยายตลาดในเวียดนาม นาย ภากร ยอดวิศิษฏ์ศักดิ์ ผู้จัดการบริษัทภากร เลธเธิร์น จำกัดที่ผลิตและขายส่งกระเป๋าหนังทุกชนิด ซึ่งเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไทย รวม 4 ครั้งได้เผยว่า“กระเป๋าทุกอย่างที่เราออกแบบขึ้นมาเพื่อให้คนเวียดนามลองใช้ดู คนเวียดนามจะเป็นคนสอนให้เรารู้ว่า เทรนด์นี้ คนเวียดนามชอบไหม แบบสไตล์สีนี้ คนเวียดนามชอบไม๊ เพราะฉะนั้น เราก็พยายามผลิตสินค้าตามความต้องการของคนเวียดนาม ซึ่งทำให้คนเวียดนามเชื่อใจในบริษัทของเราว่า เราทำการค้าจริงๆ เราต้องการทำการค้าอย่างต่อเนื่องและต้องการขยายตลาด”

นาย ภากร ยอดวิศิษฏ์ศักดิ์ ยังเผยว่า คนเวียดนามต้องการสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ไทยและเวียดนาม คือคู่ค้ากันมานาน ดังนั้น คนเวียดนามจึงรู้จักคุณภาพของสินค้าไทยดี เพราะฉะนั้น สิ่งที่สถานประกอบการไทยต้องทำก็คือปรับปรุงคุณภาพให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้สมกับความไว้ใจและความนิยมใช้สินค้าไทยของคนเวียดนาม.