การปฏิวัติเดือนสิงหาคมเป็นการจุดประกายการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ
Lai Hoa - Minh Cham - VOV -  
(VOVworld) – ชัยชนะเดือนสิงหาคมปี 1945 เป็นแรงผลักดันให้ประชาชาติเวียดนามทำการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศในหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับการรู้จักใช้โอกาสการสร้างสรรค์ การเสริมสร้างและพัฒนาพลังกลุ่มสามัคคีชนในชาติ พัฒนาพลังของประชาชาติพร้อมกับพลังของยุคแห่งการปฏิวัติเมื่อ 70 ปีก่อนยังคงทรงคุณค่าต่อภารกิจการสร้างสรรค์ประเทศในปัจจุบัน
(VOVworld) – ชัยชนะเดือนสิงหาคมปี 1945 เป็นแรงผลักดันให้ประชาชาติเวียดนามทำการต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศในหลายปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น บทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับการรู้จักใช้โอกาสการสร้างสรรค์ การเสริมสร้างและพัฒนาพลังกลุ่มสามัคคีชนในชาติ พัฒนาพลังของประชาชาติพร้อมกับพลังของยุคแห่งการปฏิวัติเมื่อ 70 ปีก่อนยังคงทรงคุณค่าต่อภารกิจการสร้างสรรค์ประเทศในปัจจุบัน
การปฏิวัติเดือนสิงหาคมเป็นการจุดประกายการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ
|
ชัยชนะและความหมายทางประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติเดือนสิงหาคมปี 1945 เป็นบทเรียนอันล้ำค่าต่อพรรคและประชาชนเวียดนามในการก้าวไปสู่อนาคต นั่นคือการยืนหยัดเป้าหมาย เอกราชของประชาชาติกับสังคมนิยม เพื่อประชาชนมั่งคั่ง ประเทศเจริญรุ่งเรือง
รู้จักใช้โอกาสหนึ่งไม่มีที่สองเพื่อประสบความสำเร็จในการปฏิวัติ
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กันยายนปี 1939 ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์โลกและภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1941 ท่านเหงียนอ๊ายก๊วกหรือประธานโฮจิมินห์ได้กลับประเทศเพื่อจัดการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างทันการณ์ในระหว่างวันที่ 10- 19 พฤษภาคมปี 1941 ที่ประชุมได้ยืนยันว่า “การปฏิวัติในอินโดจีนขณะนั้นเป็นการปฏิวัติประชาชาติเพื่อปลดปล่อยประเทศ” ดังนั้น “สิทธิผลประโยชน์ของชนชั้นต้องอยู่ภายใต้การอยู่รอดของประเทศและประชาชาติ”
เพื่อส่งเสริมจิตใจแห่งลัทธิความรักชาติ เจตนารมณ์ของประชาชาติและเตรียมกองกำลังให้แก่การปลดปล่อยด้วยตนเอง ทางพรรคได้ตัดสินใจก่อตั้งแนวร่วมสัมพันธมิตรเวียดนามเอกราชหรือเวียดมิงห์ ซึ่งได้กลายเป็นองค์กรที่ระดมพลังของกลุ่มสามัคคีชนทั้งชาติและเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในแนวทางการนำการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ส่งเสริมพลังภายในของประชาชาติอย่างเต็มที่เพื่อทำการลุกขึ้นสู้ครั้งยิ่งใหญ่
เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมปี 1945 ญี่ปุ่นประกาศจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประธานโฮจิมินห์เล็งเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่เวียดนามจะใช้โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน และยืนยันถึงความตั้งใจว่า “แม้ต้องเผาทำลายเทือกเขาเจื่องเซิน ก็ต้องช่วงชิงเอกราชและเสรีภาพของประชาชาติมาให้ได้” การลุกขึ้นสู้ครั้งใหญ่ได้รับการรณรงค์ในทั่วประเทศและภายในสองสัปดาห์ การปฏิวัติเดือนสิงหาคมก็ประสบชัยชนะ
ชัยชนะของการปฏิวัติเดือนสิงหาคมคือผลพวงจากการนำอย่างถูกต้องของพรรค ศ. ดร. แหมกกวางทั้ง จากสถาบันรัฐศาสตร์แห่งชาติโฮจิมินห์ได้แสดงความคิดเห็นในการสัมมนาเกี่ยวกับการปฏิวัติเดือนสิงหาคม ณ เมืองเตวียนกวางเมื่อเร็วๆนี้ว่า “พวกเราได้เตรียมพร้อมทุกอย่าง ทั้งแนวทาง การก่อตั้งของพรรคเมื่อปี 1930 การซ้อมลุกขึ้นสู้ช่วงปี 1930-1931 ของขบวนการปฏิวัติโซเวียด – เหงะติ๋ง การฟื้นฟูกองกำลังช่วงปี 1932 -1935 ขบวนการต่อสู้ช่วงปี 1936-1939 โดยเฉพาะช่วงปี 1939-1945 รวมทั้งมีการเตรียมใช้โอกาส เกาะติดสถานการณ์การปฏิวัติ เปลี่ยนแนวทางการชี้นำยุทธศาสตร์ เตรียมพร้อมทุกอย่าง เปิดขบวนการระดมพลังอันเข้มแข็งประชาชาติพร้อมกับพลังอันเข้มแข็งระหว่างประเทศ นั่นคือการเตรียมอย่างรอบคอบในหลายปี”
รู้จักใช้โอกาสหนึ่งไม่มีที่สองเพื่อประสบความสำเร็จในการปฏิวัติ
|
บทเรียนมหาสามัคคียังทรงคุณค่าต่อภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของการปฏิวัติเดือนสิงหาคมเมื่อปี 1945 ได้ถอดบทเรียนอันล้ำค่าคือ การสร้างสรรค์และพัฒนากลุ่มมหาสามัคคีชนในชาติ โดยแกนนำคือกลุ่มพันธมิตรกรรมกร เกษตรกรและปัญญาชนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ ความต้องการและความปรารถนาของประชาชนในการร่วมต่อสู้แบบ “ใช้พลังของตนเพื่อปลดปล่อยด้วยตนเอง” ดังนั้น การปฏิวัติเดือนสิงหาคมได้สร้างกระบวนการปฏิวัติที่กว้างลึกและเข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนโดยมีประชาชนทุกชั้นชนทั่วประเทศเข้าร่วม ดร. หยีเล รองบรรณาธิการนิตยสารคอมมิวนิสต์ได้ยืนยันว่า การปฏิวัติเดือนสิงหาคมคือสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีชนทั้งชาติ “ประชาชนในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อยึดอำนาจ พลังอันแข็งแกร่งของน้ำใจประชาชนคือพลังที่เข้มแข็งที่สุด เมื่อ 600 ปีก่อน เหงียนฉายเคยพูดว่า “ทำให้เรืออับปางก็คือพลังแข็งแกร่งของประชาชนเปรียบเสมือนกระแสน้ำที่รุนแรง” หลังจากนั้นอีกกว่า 500 ปี ประธานโฮจิมินห์ก็กล่าวว่า “ในท้องฟ้านี้ไม่มีอะไรที่มีค่ากว่าประชาชน ในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรแข็งแกร่งกว่าความแข็งแกร่งของประชาชน” นี่คือการปฏิวัติของประชาชน โดยประชาชนและเพื่อประชาชน นั่นคือรากเหง้านำไปสู่การปฏิวัติประสบชัยชนะในเดือนสิงหาคม”
บทเรียนเกี่ยวกับมหาสามัคคีชนในชาติในการปฏิวัติเดือนสิงหาคมไม่เพียงแต่มีความหมายในการปฏิวัติเมื่อ 70 ปีก่อน ในการต่อต้านฝรั่งเศสและอเมริกาเท่านั้น หากยังทรงคุณค่าต่อภารกิจการสร้างสรรค์และพิทักษ์รักษาปิตุภูมิในปัจจุบันอีกด้วย ในสภาวการณ์ที่ภูมิภาคและโลกมีความซับซ้อนมากขึ้นยิ่งกว่าช่วงเวลาใด ความแข็งแกร่งของน้ำใจประชาชนต้องได้รับการระดม ปลูกฝังและพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง รองศาสตราจารย์ ดร.บุ่ยดิ่งฟอง จากสถาบันรัฐศาสตร์แห่งชาติโฮจิมินห์ย้ำว่า “จิตใจของประชาชนคือกำแพงที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อปกป้องพรรค ระบอบการเมืองและภารกิจการเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศ ดังนั้น เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงใหม่ประเทศประสบความสำเร็จ ก่อนอื่นต้องเสริมสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อพรรค นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง เพราะว่า ปัจจุบันนี้ เกิดปัญหาการขาดความเชื่อมั่นต่อพรรค สองคือต้องเสริมสร้างกลุ่มมหาสามัคคีชนในชาติ พร้อมทั้งให้การดูแลเอาใจใส่ต่อผลประโยชน์ที่ชอบธรรมของประชาชน ถ้าหากทำได้ พวกเราจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ถ้าหากได้รับความเชื่อมั่นของประชาชน เราจะทำได้ทุกอย่าง”
บทเรียนเกี่ยวกับการพัฒนาพลังของประชาชาติและพลังของยุคในการปฏิวัติเดือนสิงหาคมยังทรงคุณค่าในยุคปัจจุบันแก่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในการรู้จักใช้โอกาสและสถานะของตนเพื่อนำประเทศพัฒนาอย่างยั่งยืน.
Lai Hoa - Minh Cham - VOV