การมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่ละเมิดกฎหมายเวียดนามเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

(VOVworld)- เมื่อวันที่8มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ประกาศสดุดี ตะฟองเติ่น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการบังคับคดีจำคุก10ปีข้อหาละเมิดกฎหมายเวียดนามให้เป็นหนึ่งในสตรีที่กล้าหาญของโลกปี2012 ซึ่งนอกจากเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของเวียดนามแล้ว เหตุการณ์นี้ยังส่งผลเสียถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเวียดนาม-สหรัฐ ซึ่งต่อไปนี้ขอแนะนำบทวิเคราะห์ของนักข่าววิทยุเวียดนามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่พาดหัวว่า “การมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่ละเมิดกฎหมายเวียดนามเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
(VOVworld)- เมื่อวันที่8มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ประกาศสดุดี ตะฟองเติ่น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการบังคับคดีจำคุก10ปีข้อหาละเมิดกฎหมายเวียดนามให้เป็นหนึ่งในสตรีที่กล้าหาญของโลกปี2012 ซึ่งนอกจากเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของเวียดนามแล้ว เหตุการณ์นี้ยังส่งผลเสียถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างเวียดนาม-สหรัฐ ซึ่งต่อไปนี้ขอแนะนำบทวิเคราะห์ของนักข่าววิทยุเวียดนามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่พาดหัวว่า “การมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่ละเมิดกฎหมายเวียดนามเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
การมอบรางวัลให้แก่บุคคลที่ละเมิดกฎหมายเวียดนามเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง - ảnh 1
ตะฟองเติ่นถูกศาลประชาชนนครโฮจิมินห์ตัดสินจำคุก10ปีข้อหา
ประชาสัมพันธ์ต่อต้านรัฐเวียดนาม(internet)

รางวัล “สตรีที่กล้าหาญของโลก” ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้มอบนั้นมีเป้าหมายยกย่องสดุดีสตรีผู้ที่แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความสามารถในการเป็นผู้นำเพื่อรณรงค์เรียกร้องการสนับสนุนให้แก่สิทธิและอำนาจของสตรีโดยไม่ห่วงต่อความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ ในกรณีของ ตะฟองเติ่น นั้น ทางการสหรัฐได้แสดงความเห็นว่าเป็นหนึ่งในบล๊อคเกอร์คนแรกที่กล้าเขียนและแสดงความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองต่างๆในบล๊อคชื่อว่า “Công lý & Sự Thật หรือความเป็นธรรมและความจริง” โดยตัวแทนมอบรางวัลของทางการสหรัฐคือรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจอนห์แครีพร้อมภริยาในโอกาสฉลองวันสตรีสากล8มีนาคม แต่ในทางเป็นจริง ตะฟองเติ่น มิได้เป็นตัวแทนให้แก่สตรีเวียดนามที่ดีเด่นและไม่ใช่ผู้นำกระบวนการรณรงค์เพื่อสิทธิและอำนาจของสตรีเวียดนามโดยเรามาดูกันว่า ตะฟองเติ่น คือใครกันแน่ 

ตะฟองเติ่นเกิดปี1968ที่จ.บากเลียว ขณะที่ทำงานในสำนักงานการค้าและการท่องเที่ยวจ. ตะฟองเติ่น เคยเขียนบทความหลายบทที่มีเนื้อหาบิดเบือนปั้นแต่งเรื่องการสอบและภาษีรายได้ส่วนบุคคลในประเทศ เป็นต้น แล้วส่งให้สถานีวิทยุบีบีซี จนถึงหลายปีมานี้ตะฟองเติ่นได้เปิดบล๊อคชื่อ  “Công lý & Sự Thật หรือความเป็นธรรมและความจริง” เพื่อเผยแพร่ทัศนะที่ผิดพลาด คารมใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนแนวทางนโยบายของพรรคและรัฐเวียดนาม และเมื่อวันที่24กันยายนปี2012 เมื่อศาลประชาชนนครโฮจิมินห์ได้ดำเนินคดีทางอาญาต่อตะฟองเติ่นและบุคคลบางคนแล้วตัดสินจำคุก10ปีในข้อหา จงใจประชาสัมพันธ์ต่อต้านรัฐเวียดนาม ทุกคนก็ยิ่งเข้าใจกันแล้วว่าตะฟองเติ่นเป็นใคร โดยตามข้อหาที่ผู้พิพากษาอ่าน ณ ศาล เมื่อเดือนเมษายนปี2007 ตะฟองเติ่น ได้เดินทางมาที่โฮจิมินห์และเข้าร่วมในองค์กรที่เรียกว่า สโมสรนักข่าวเสรี ซึ่งเป็นศูนย์รวมบุคคลที่ไม่พอใจทางการปกครองและมุ่งต่อต้านรัฐเวียดนาม บวกกับการสนับสนุนด้านการเงินขององค์กรชาวเวียดนามหัวรุนแรงพลัดถิ่นในต่างประเทศ องค์กรนี้ได้ใช้อินเตอร์เนตเป็นเครื่องมือเพื่อเผยแพร่บทความจำนวนมากที่มีเนื้อหาบิดเบือนความจริงในเวียดนาม ซึ่งในนั้นตะฟองเติ่นมีหน้าที่รวบรวมหลักฐานข้อมูลเพื่อเป็นทนายให้ฝ่ายจำเลยคือกลุ่ม แบกดั่งยาง ซึ่งเป็นองค์กรปฏิกิริยาของพรรคเพื่อประชาชนสหรัฐรวมทั้งสมาชิกของกลุ่ม8406ที่มีส่วนร่วมในกรณีก่อความไม่สงบที่คริสตจักรท้ายห่า นอกจากนี้ตะฟองเติ่นยังสารภาพว่าเคยเขียนบทความและให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติอาทิเช่น นักข่าวของสถานีวิทยุ ซิสนี่ แห่งองค์กรก่อการร้ายเวียดเตินในออสเตรเลีย นักข่าวของสถานีวิทยุพรรคเพื่อประชาชนสหรัฐ โดยมีเนื้อหาใส่ร้ายป้ายสีรัฐเวียดนาม นับจนถึงเดือนพฤษภาคมปี2009 ตะฟองเติ่น ได้เขียนบทความ864บทเพื่อเผยแพร่ผ่านบล๊อคพร้อมส่งบทความกว่า100บทให้สถานีวิทยุต่างๆเช่น บีบีซี อาเอฟเอ และอาเอฟไอ และได้รับค่าตอบแทนประมาณ40เหรียญสหรัฐต่อบท ซึ่งรวมเงินทั้งหมดคิดเป็นประมาณ1หมื่น5พันเรียญสหรัฐ

เป็นอันว่าก่อนที่ถูกตัดสินจำคุกในข้อหาละเมิดกฎหมายเวียดนาม ตะฟองเติ่น เป็นเพียงผู้รับเงินจากองค์กรชาวเวียดนามปฏิกิริยาในต่างประเทศเพื่อเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับเวียดนามเท่านั้นดังนั้นตะฟองเติ่นจึงไม่มีวันมีสิทธิ์เป็นตัวแทนของสตรีเวียดนามผู้เที่ยงธรรมที่กำลังมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐก็ได้ทำในสิ่งที่ผิดเมื่อประกาศยกย่องตะฟองเติ่นเป็นสตรีผู้กล้าหาญดีเด่นของโลกประจำปี2012 เพราะอันที่จริงสิ่งที่ตะฟองเติ่นได้ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น  ทั้งนี้และทั้งนั้น สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ทำในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศกำลังพัฒนาอย่างดีงามถือเป็นการเดินสวนทางที่ไม่สมควรเกิดขึ้น./.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด