การรวมปัญหาสิทธิมนุษยชนเข้ากับกิจกรรมการอุปถัมภ์เป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม

(VOVworld)- เมื่อวันที่16พฤษภาคม คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาล่างสหรัฐได้ผ่านความเห็นชอบสิ่งที่เรียกว่า ร่างรัฐบัญญัติสิทธิมนุษยชนเวียดนามปี2013หรือร่างรัฐบัญญัติ1897 โดยเสนอมาตรการผลักดันการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในเวียดนามพร้อมทั้งห้ามการอุปถัมภ์ที่ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายมนุษยธรรมแก่เวียดนาม ซึ่งเดินสวนกับแนวโน้มการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างสองประเทศ
(VOVworld)- เมื่อวันที่16พฤษภาคม คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาล่างสหรัฐได้ผ่านความเห็นชอบสิ่งที่เรียกว่า ร่างรัฐบัญญัติสิทธิมนุษยชนเวียดนามปี2013หรือร่างรัฐบัญญัติ1897 โดยเสนอมาตรการผลักดันการปฏิบัติสิทธิมนุษยชนในเวียดนามพร้อมทั้งห้ามการอุปถัมภ์ที่ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายมนุษยธรรมแก่เวียดนาม ซึ่งแม้จะเป็นการผ่านความเห็นชอบในระดับคณะอนุกรรมการเท่านั้นและกว่าที่จะมีผลบังคับใช้ร่างรัฐบัญญัตินี้ยังต้องผ่านความเห็นชอบของสภาล่าง วุฒิสภาและประธานาธิบดีสหรัฐลงนามประกาศใช้ แต่การกระทำดังกล่าวของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาล่างสหรัฐก็เดินสวนกับแนวโน้มการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างสองประเทศ
การรวมปัญหาสิทธิมนุษยชนเข้ากับกิจกรรมการอุปถัมภ์เป็นเรื่องไร้มนุษยธรรม - ảnh 1
เสรีภาพทางศาสนาในเวียดนามได้รับการค้ำประกันในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

เมื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงปัญหานี้สิ่งแรกที่มองเห็นคือความผิดพลาดในการเข้าถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนในเวียดนามของบรรดาสส.ในคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาล่างสหรัฐโดยเฉพาะสส.กรีส สมิท ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างรัฐบัญญัตินี้จากการกล่าวปราศรัยหลังการลงคะแนนอนุมัติว่า ร่างรัฐบัญญัติเรียกร้องให้เวียดนามให้ความเคารพเสรีภาพทางศาสนา ปล่อยตัวนักโทษการเมือง เคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและให้ความเคารพสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ซึ่งนี่ล้วนแต่เป็นข้อที่ไร้มูลความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในเวียดนามเพราะความจริงนั้นต้องได้รับการยืนยันจากสถานการณ์ที่เป็นจริงนั่นคือ เสรีภาพทางศาสนาในเวียดนามได้รับการค้ำประกันในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ในเวียดนามไม่มีสิ่งที่เรียกว่านักโทษการเมือง ประชาชนเวียดนามมีสิทธิ์แสดงความเห็นอย่างเสรีในทุกปัญหาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมสังคม ส่วนพี่น้องประชาชนชนกลุ่มน้อยก็ได้รับความดูแลเอาใจใส่จากรัฐเสมอเพื่อมีโอกาสพัฒนาทัดเทียมกับชนชาติอื่นๆในเวียดนามและประเด็นสุดท้ายคือเวียดนามให้ความเคารพและปฏิบัติคำมั่นระหว่างประเทศต่างๆเกี่ยวกับมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนจนผลงานที่เวียดนามได้ประสบนั้นต่างได้รับการยอมรับจากนานาประเทศและขณะนี้เวียดนามก็กำลังสมัครเป็นสมาชิกสภาสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติวาระปี2014-2016 เป็นอันว่า ร่างรัฐบัญญัติ1897ของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนสภาล่างสหรัฐเป็นเอกสารที่ขาดภาวะวิสัยหรืออาจจะกล่าวว่าได้จงใจใช้ข้อมูลที่บิดเบือนความจริงในเวียดนามและการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐบัญญัตินี้เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ไร้เหตุผลว่าเวียดนามต้องให้ความเคารพเสรีภาพทางศาสนา เสรีภาพสื่อมวลชนและสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและขาดความหวังดีต่อเวียดนาม เพราะตามกฎบัติสหประชาชาติ การร่างและปฏิบัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างไรถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละประเทศที่ประเทศอื่นหรือกองกำลังการเมืองใดๆไม่มีสิทธิ์ยัดเยียดให้ปฏิบัติ ดังนั้นร่างรัฐบัญญัติ1897จึงถือเป็นการละเมิดหลักการณ์แห่งความเคารพสิทธิในการตัดสินใจเองในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบันเพราะเป็นการให้ตัวเองมีสิทธิ์ตำนิติติงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศที่มีเอกราชและเป็นตัวของตังเองดังเวียดนาม
หากมองในด้านมนุษยธรรมนั้น การที่ร่างรัฐบัญญัติ1897ได้ห้ามการอุปถัมภ์ที่ไม่มีเป้าหมายเพื่อมนุษยธรรมแก่เวียดนามพร้อมกับเงื่อนไขตามที่สส.สมิทได้พูดคือหากเว้นแต่กรณีที่ฮานอยได้บรรลุความคืบหน้าที่จริงจังในปัญหาสิทธิมนุษยชน  สำหรับประเด็นนี้ต้องเข้าใจกันว่าจากเงื่อนไขต่างๆในประวัติศาสตร์เวียดนามและสหรัฐก็กำลังพยายามสมานแผลสงครามและพัฒนาความสัมพันธ์ในทุกด้านโดยสหรัฐกำลังร่วมมือกับเวียดนามเพื่อแก้ไขปัญหามนุษยธรรมต่างๆหลังสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการสืบหาอัฐิทหารอเมริกันที่สูญหายในสงคราม การเก็บกู้ระเบิด การแก้ไขปัญหาสารพิษไดอ๊อกซินและการช่วยเหลือมนุษยธรรมแก่ผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มไดอ๊อกซิน โดยเฉพาะขณะนี้รองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐดูแลปัญหาต่างๆดังกล่าวก็กำลังอยู่ระหว่างการเยือนเวียดนามเพื่อผลักดันกิจกรรมการสืบหาอัฐิทหารของทั้งสองฝ่ายที่สูญหายในสงคราม นอกจากนั้นนับตั้งแต่มีการปรับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็นปกติเมื่อปี1995มาจนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้พัฒนาในทุกด้านและหนึ่งในนั้นคือความร่วมมือด้านมนุษยธรรม เพราะการที่สหรัฐให้การช่วยเหลือเวียดนามก็ถือเป็นปฏิบัติการแห่งมนุษยธรรมที่ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ควรปฏิบัติหลังจากได้ก่อสงครามทำลายประเทศอื่น ซึ่งรัฐบาลสหรัฐได้ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องเมื่อดำเนินโครงการด้านมนุษยธรรมต่างๆและให้ความร่วมมือกับเวียดนามเพื่อแก้ไขผลเสียหายจากสงคราม ดังนั้นถ้าหากรวมปัญหาสิทธิมนุษยชนกับกิจกรรมการอุปถัมภ์แก่เวียดนามแม้กระทั่งการช่วยเหลือนั้นมิใช่เพื่อเป้าหมายด้านมนุษยธรรมดังที่ร่างรัฐบัญญัติ1897ได้ระบุก็ถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและไร้มนุษยธรรม
ในเวลาที่ผ่านมา มีสส.สหรัฐหลายคนโดยเฉพาะนาย กริส สมิท มักจะใช้ปัญหาสิทธิมนุษยชนในเวียดนามเป็นแรงจูงใจในการเรียกคะแนนนิยมจากกลุ่มผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งสหรัฐที่มีอคติต่อการพัฒนาของเวียดนาม ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจเลยว่ากลุ่มสส.ที่เคยเสนอร่างรัฐบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนเวียดนามหลายครั้งและเคยได้ผ่านความเห็นชอบในสภาล่างแต่กลับไม่เคยผ่านวุฒิสภาไปได้ ดังนั้นร่างรัฐบัญญัติ1897ก็ยิ่งทำให้กลุ่มสส.นี้ถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นในกระแสการพัฒนาความสัมพันธ์ที่นับวันเข้มแข็งและดีงามยิ่งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองประชาชาติเวียดนาม-สหรัฐ./.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด