การสนทนาระหว่างสหรัฐกับรัสเซียเน้นแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

(VOVWORLD) -เมื่อวันที่ 10 มกราคม ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตัวแทนของสหรัฐและรัสเซียได้ทำการเจรจาเกี่ยวกับร่างข้อตกลงความมั่นคงที่รัสเซียนำเสนอ แม้จะได้รับการตั้งความหวังว่า อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐนับตั้งแต่สงครามเย็น แต่การสนทนาดังกล่าวไม่สามารถบรรลุผลงานใดๆ โดยแค่เป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
การสนทนาระหว่างสหรัฐกับรัสเซียเน้นแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง - ảnh 1นาง Wendy Sherman รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและนาย    Sergei Ryabkov รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย  (Photo: Denis Balibouse/AP)

การสนทนานี้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียกำลังตกเข้าสู่ภาวะที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็นโดยเน้นหารือเกี่ยวกับข้อเสนอค้ำประกันความมั่นคงของรัสเซีย ปัญหาความขัดแย้งระหว่างสองประเทศในหลายปีที่ผ่านมา ความวิตกกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางทหารของฝ่ายต่างๆ รวมทั้ง วิกฤตยูเครน  ซึ่งเป็นกิจกรรมแรกในกรอบการพบปะ 3 ครั้งที่เกี่ยวข้องกับปัญหายูเครนที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ ซึ่งนาโต้และรัสเซียจะทำการเจรจาในวันที่ 12 มกราคม ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมและหลังจากนั้น 1 วันคือการพบปะระหว่างรัสเซียกับองค์การความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรปหรือ OSCE ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

ยากที่จะบรรลุก้าวกระโดด

หัวหน้าของคณะเจรจารัสเซียคือนาย    Sergei Ryabkov รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย     ส่วนนาง Wendy Sherman รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเป็นตัวแทนของสหรัฐที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว  ตามการประกาศของทั้งสองฝ่าย การสนทนาครั้งนี้ได้มีขึ้นอย่างตรงไปตรงมาและเป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาที่แต่ละฝ่ายวิตกกังวล แม้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆได้  รัฐมนตรีช่วย Wendy Sherman ได้เผยว่า ตัวเธอไม่แน่ใจว่า รัสเซียอยากประนีประนอมในปัญหายูเครนหรือไม่และตามความคิดเห็นของสหรัฐ  การประนีประนอมก็หมายความว่า รัสเซียต้องถอนทหารนับพันนายออกจากเขตชายแดนที่ติดกับยูเครนหรืออธิบายอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการประจำการของทหารรัสเซียในเขตนี้

ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย Sergei Ryabkov ได้ยืนยันว่า รัสเซียไม่มีแผนการปฏิบัติกิจกรรมทางทหารไม่ว่าความวิตกกังวลของสหรัฐเกี่ยวกับการที่รัสเซียเสริมกำลังในเขตชายแดนติดกับยูเครนจะเป็นเช่นไร พร้อมทั้งย้ำว่า การฝึกทหารของรัสเซียมีขึ้นในดินแดนของรัสเซีย ดังนั้น จึงไม่ต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ก่อนการเจรจาดังกล่าว  ทั้งสองฝ่ายได้ส่งสัญญาณในเชิงลบ รวมทั้งการประกาศที่แข็งกร้าว  ในขณะที่นาย Sergei Ryabkov ยืนยันว่า รัสเซียจะไม่ประนีประนอมต่อแรงกดดันและการข่มขู่ของฝ่ายตะวันตก ถึงแม้นี่เป็นการสนทนาแรกในกรอบการสนทนา 3 ครั้งที่มีการเข้าร่วมของนาโต้และองค์การ OSCE แต่นาย Sergei Ryabkov  เห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่การสนทนาจะยุติลงภายหลังการประชุมนัดแรก ส่วนนาง Wendy Sherman ก็ย้ำถึงคำมั่นของสหรัฐต่อหลักการระหว่างประเทศเกี่ยวกับอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดนและเสรีภาพของประเทศที่มีอธิปไตยในการคัดเลือกพันธมิตรของตน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแอนโตนี บลิงเกน ได้ให้ข้อสังเกตว่า การสนทนานี้ไม่สามารถบรรลุก้าวกระโดดใดๆ

การสนทนาระหว่างสหรัฐกับรัสเซียเน้นแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง - ảnh 2ภาพของการสนทนา

การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับสหรัฐและฝ่ายตะวันตก

ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐตกเข้าสู่ภาวะความรุนแรงในหลายปีที่ผ่านมา โดยในวาระของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายต่อรัสเซียไม่มีความชัดเจน ส่วนในสมัยของประธานาธิบดี โจ ไบเดน รัฐบาลสหรัฐยืนหยัดนโยบายที่แข็งกร้าวต่อรัสเซีย ทำการเผชิญหน้าแทนความร่วมมือ

บรรดานักวิเคราะห์ให้ข้อสังเกตว่า การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับสหรัฐหรือระหว่างรัสเซียกับฝ่ายตะวันตกมีส่วนเกี่ยวข้องถึงการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ การแย่งชิงอิทธิพลและสถานะบนเวทีโลกและความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ซึ่งรัสเซียถือปฏิบัติการของสหรัฐและฝ่ายตะวันตก เช่น การขยายอิทธิพลขององค์การนาโต้ไปสู่ทิศตะวันออกผ่านการรับประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซียเข้าเป็นสมาชิก  การเสริมกำลังทหารและอาวุธในเขตชายแดนที่ติดกับรัสเซียถือเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่รัสเซียมีการตอบโต้ต่อมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐและฝ่ายตะวันตก

ในหลายปีที่ผ่านมา รัสเซียและสหรัฐได้กล่าวหลายครั้งถึงความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายยังคงตระหนักได้ดีต่อความสำคัญของการธำรงความสัมพันธ์ทวิภาคี แต่อย่างไรก็ดี ยากที่จะสร้างจุดเปลี่ยนให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศภายหลังการพบปะทวิภาคีต่างๆรวมทั้งการพบปะสุดยอด ซึ่งการพบปะครั้งล่าสุดไม่ใช่เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่เป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องเกี่ยวกับหลักการในการแข่งขัน เป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประเด็นที่ได้รับความสนใจและความวิตกกังวลของแต่ละฝ่าย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด