ความผันผวนที่น่ากังวลบนคาบสมุทรเกาหลี

(VOVWORLD) - วันที่ 16 มิถุนายน แหล่งข่าวทางทหารของสาธารณรัฐเกาหลียืนยันว่า เปียงยางได้ทำลายสำนักงานประสานงานระหว่างสองภาคเกาหลีในเขตนิคมอุตสาหกรรมแคซ็องที่ติดกับชายแดนประเทศสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งถือเป็นการตอบโต้อย่างเข้มแข็งเกี่ยวกับการปล่อยบอลลูนที่ติดใบปลิวต่อต้านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในเขตชายแดน ส่งผลให้ประชามติโลกมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ยังคงอยู่ในภาวะสงคราม
ความผันผวนที่น่ากังวลบนคาบสมุทรเกาหลี - ảnh 1 สาธารณรัฐเกาหลีระบุการทำลายสำนักงานประสานงานระหว่างสองภาคเกาหลีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน (Photo Yonhap)

สื่อมวลชนและผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศแสดงความคิดเห็นว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีในขณะนี้มีความน่ากังวลมาก ซึ่งแตกต่างกับบรรยากาศที่เป็นมิตรเมื่อสองปีก่อน ซึ่งตรงกับวันที่ 12 มิถุนายนปี 2018 การพบปะสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีที่จัดขึ้น ณ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ก็เพื่อตอบโต้ชาวสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีที่แปรพักตร์และการที่สาธารณรัฐเกาหลีปล่อยให้มีการปล่อยลูกโป่งที่ติดใบปลิวต่อต้านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในเขตชายแดน ซึ่งก่อนหน้านี้เปียงยางได้ออกคำประกาศถึงเรื่องดังกล่าวและมีปฏิบัติการที่แข็งกร้าวต่อทั้งสาธารณรัฐเกาหลีและสหรัฐ

ปฏิบัติการณ์ที่แข็งกร้าวของเปียงยาง

การทำลายสำนักงานประสานงานระหว่างสองภาคเกาหลีเป็นการทำตามคำขู่ที่ประกาศเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนของนาง คิม โย จอง น้องสาวของนาย คิมจองอึน ผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีและกำลังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคนที่หนึ่งคณะกรรมการส่วนกลาง ซึ่งเตือนว่า “การตอบโต้ครั้งต่อไปของเปียงยางจะเป็นหน้าที่ของกองทัพ” ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ให้ข้อสังเกตว่า “การตอบโต้ครั้งต่อไป” คือการทำลายสำนักงานประสานงานนี้และหนึ่งวันก่อนการทำลายสำนักงานแห่งนี้ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน หนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun กระบอกเสียงของพรรคแรงงานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้ลงบทความที่ยืนยันว่า “จะมีปฏิบัติการตอบโต้ต่อไป” ซึ่งบทความนี้ถูกเผยแพร่ในโอกาสรำลึกครบรอบ 20 ปีวัน “ประกาศ 15 มิถุนายน” ที่ได้บรรลุในการพบปะสุดยอดครั้งแรกระหว่างสองภาคเกาหลีระหว่างนายคิมจองอิล อดีตผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีกับนาย คิมแดจุง อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลีเมื่อปี 2000 พร้อมทั้งตำหนิสาธารณรัฐเกาหลีว่าไม่พยายามยับยั้งการปล่อยลูกโป่งโปรยใบปลิวและกล่าวหากรุงโซลว่า “สร้างความตึงเครียดที่เล็วร้ายที่สุดบนคาบสมุทรเกาหลีนับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน” ในขณะเดียวกัน สำนักข่าวกลางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีหรือเคซีเอ็นเอได้เผยว่า “นี่เป็นการโจมตีล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดสงคราม” โดยเฉพาะตั้งแต่เที่ยงวันที่ 9 มิถุนายน เปียงยางได้ตัดการติดต่อทั้งหมดกับกรุงโซล รวมทั้งโทรศัพท์สายด่วนทางทหารระหว่างสองประเทศและยืนยันว่า จะปฏิบัติต่อสาธารณรัฐเกาหลีเหมือน “ศัตรู”

นอกจากกล่าวตำหนิสาธารณรัฐเกาหลี เปียงยางยังแสดงความไม่พอใจต่อทางการสหรัฐ โดยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน สำนักข่าวเคซีเอ็นเอได้อ้างคำประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐเกาหลี รี ซัน วอน ว่า  ความหวังเกี่ยวกับการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีได้กลายเป็น “ความผิดหวัง”ภายหลัง 2 ปีของการประชุมสุดยอดที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ทางการของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงแสวงหามาตรการโดดเดี่ยวเปียงยางและข่มขู่ทำการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองหรือโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์

สถานการณ์ที่น่ากังวล

ในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่ในเวลาที่ผ่านมาเท่านั้น หากหลังจากที่การประชุมสุดยอดสหรัฐ – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีครั้งที่ 2 ไม่ประสบความสำเร็จดั่งความคาดหวัง เปียงยางได้มีปฏิบัติการที่ยั่วยุและไม่ให้ความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีผ่านการทดลองอาวุธนับสิบครั้งและปฏิเสธการสนับสนุนโครงการร่วมมือระหว่างสองภาคเกาหลี นักวิเคราะห์ให้ข้อสังเกตว่า สถานการณ์ความตึงเครียดที่น่ากังวลในปัจจุบันเป็นผลจากความชะงักงันมานานในการเจรจาเกี่ยวกับการปลอดนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี

จากสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสาธารณรัฐเกาหลีได้ออกคำเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้เปียงยางปฏิบัติความร่วมมือบนพื้นฐานของข้อตกลงต่างๆที่ได้บรรลุระหว่างสองประเทศ โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี มูนแจอิน ได้เสนอให้เปียงยางแสวงหาก้าวกระโดดผ่านการสนทนาและในวันเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเอกภาพของสาธารณรัฐเกาหลีได้ระบุว่า สาธารณรัฐเกาหลีและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีควรจดจำเจตนารมณ์แห่งการไกล่เกลี่ยในการประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำสองประเทศเมื่อปี 2000 คือไม่ใช่ฝ่ายที่อ่อนแอต้องเชื่อฟังฝ่ายที่แข็งแกร่งมากกว่า นั่นคือเสรีภาพในความมุ่งมั่น ไม่ใช่การเผชิญหน้าแต่เป็นสันติภาพ ไม่ใช่ความแตกแยกแต่เป็นเอกภาพ ทั้งสองฝ่ายควรจดจำเจตนารมณ์นี้เพื่อไม่หลงทางในสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนประธานสภาเสนธิการใหญ่ของพันธมิตรสาธารณรัฐเกาหลีได้เผยว่า กองทัพสาธารณรัฐเกาหลีกำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางทหารของเปียงยางอย่างใกล้ชิดและพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ก่อนหน้านั้น 1 วัน สภาความมั่นคงแห่งชาติของสาธารณรัฐเกาหลีได้จัดการประชุมฉุกเฉินโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงระดับสูงเข้าร่วมเพื่อหารือเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเปียงยาง

นักวิเคราะห์ได้แสดงความคิดเห็นว่า สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบันน่ากังวลเป็นอย่างมากแต่ก็ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ผู้นำทั้งสองประเทศจะมีความอดกลั้น ใช้สติในการตัดสินใจเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด ไม่ปล่อยให้สถานการณ์ความตึงเครียดทวีความรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้เพราะความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากแผนการที่ไม่คาดคิดนั้นจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงที่สุดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด