ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับสหรัฐใน๒๐ปีที่ผ่านมาคือการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อความร่วมมื

( VOVworld )- วันที่ ๑๑ กรกฎาคมก่อนหน้านี้ ๒๐ ปี  รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามเป็นปกติและยกเลิกนโยบายเอมบาโกเวียดนามที่ปฏิบัติมาสองทศวรรษ  ภายหลัง ๒๐ ปี เวียดนามกับสหรัฐอเมริกาได้มีเสียงพูดเดียวกันในความร่วมมือในหลายด้าน แม้กระทั่งในปัญหาที่ถือเป็นกำแพงกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ   แม้ปัจจุบันทั้งสองประเทศยังมีหลายปัญหาที่จะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อสร้างความไว้วางใจกันก็ตาม แต่ในช่วงที่ฉลองครบรอบ ๒๐ ปีการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศเป็นปกติ  เวียดนามและสหรัฐอาจพอใจต่อผลที่ได้ประสบมา

( VOVworld )- วันที่ ๑๑ กรกฎาคมก่อนหน้านี้ ๒๐ ปี  รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามเป็นปกติและยกเลิกนโยบายเอมบาโกเวียดนามที่ปฏิบัติมาสองทศวรรษ  ภายหลัง ๒๐ ปี เวียดนามกับสหรัฐอเมริกาได้มีเสียงพูดเดียวกันในความร่วมมือในหลายด้าน แม้กระทั่งในปัญหาที่ถือเป็นกำแพงกีดกันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ   แม้ปัจจุบันทั้งสองประเทศยังมีหลายปัญหาที่จะต้องปรึกษาหารือกันเพื่อสร้างความไว้วางใจกันก็ตาม แต่ในช่วงที่ฉลองครบรอบ ๒๐ ปีการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศเป็นปกติ  เวียดนามและสหรัฐอาจพอใจต่อผลที่ได้ประสบมา

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวียดนามกับสหรัฐใน๒๐ปีที่ผ่านมาคือการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อความร่วมมื - ảnh 1
ท่านเหงียนฟู้จ่องและท่านบารัก โอบาม่า

วันที่ ๑๑ กรกฎาคมปีค.ศ.๑๙๙๕ นาย บิลล์ คลินตันประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนามเป็นปกติ คำประกาศครั้งประวัติศาสตร์นี้ได้เปิดหน้าใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เคยเป็นอริกันในอดีต

จากความยากลำบากในระยะแรกๆ

นายบิลล์ คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้กลับมาเวียดนามในเดือนกรกฎาคมนี้เพื่อเข้าร่วมพิธีฉลองครบรอบ ๒๐ ปีการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศเป็นปกติในฐานะแขกรับเชิญพิเศษโดยได้ยืนยันอีกครั้งว่า “ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวียดนามที่พัฒนาดังปัจจุบันมาจากความพยายามอย่างไม่เคยมีมาก่อนของทั้งสองฝ่าย ”  ท่านเผยว่า  เมื่อ ๒๐ ปีก่อน เมื่อท่านกล่าวถึงการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม ได้มีหลายความคิดเห็นว่า นี่ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดและไม่มีใครสามารถคาดเดาถึงผลสำเร็จของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในปัจจุบันได้  นายบิลล์ คลินตันกล่าวว่า  “ การกล่าวถึงการปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐอเมริกากับเวียดนามก่อนหน้านั้น ๒๐ ปีเป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนรุ่นผมที่เคยได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิเวียดนาม  โดยพวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่บ้าคลั่ง แต่เมื่อเพื่อนเวียดนามยอมรับพวกเราและในทางกลับกันพวกเรายอมรับเพื่อนเวียดนาม พวกเราสามารถปลดแอกให้กับตัวเองได้  การปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศเป็นปกติได้ช่วยในการสมานบาดแผลสงครามและสร้างความสัมพันธ์เพื่อผลักดันความร่วมมือ ”

สู่ผลความร่วมมือที่จริงจัง

เมื่อหวนมองดูความสัมพันธ์และร่วมมือระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาในตลอด ๒๐ ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่า มีการพัฒนาก้าวไกลเกินความคาดหมาย โดยมูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศจาก ๒๕ ล้านเหรียญสหรัฐได้เพิ่มขึ้นเป็น ๓๕,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ  เวียดนามได้กลายเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกาในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนโดยเมื่อปีที่แล้ว เวียดนามได้แซงหน้าไทยกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของอาเซียนในตลาดสหรัฐอเมริกา  ในด้านการลงทุน สหรัฐอเมริกาเป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับ ๗ในจำนวนประเทศและดินแดนที่มีเงินลงทุนโดยตรงในเวียดนาม  เวียดนามและสหรัฐอเมริกากำลังเจรจาข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือทีพีพีซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ซึ่งที่จะเปิดโอกาสความร่วมมือทางการค้า เศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างสองประเทศในขอบเขตที่ใหญ่โตขึ้น   ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและสหรัฐอเมริการได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านการศึกษา โดยมีนักศึกษาเวียดนาม ๑๗,๐๐๐ คนที่กำลังทำงานและศึกษาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่อันดับ ๘ ในจำนวนประเทศที่มีนักศึกษาที่กำลังศึกษาในสหรัฐ  โครงการฟุลไบรท์ของสหรัฐได้ให้ทุนการศึกษาแก่เวียดนามมาหลายปีและในปีนี้ก็จะก่อสร้างมหาวิทยาลัยฟุลไบรท์ที่ไม่หาผลกำไรแห่งแรกในเวียดนาม   นายเท็ด โอซีอุส เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่มารับตำแหน่งในเวียดนามเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมาได้แสดงความเห็นว่า ช่วงปีคริสตศักราช ๑๙๙๐ ไม่มีใครที่คาดเดาว่า ความสัมพันธ์หุ้นส่วนระหว่างสองประเทศจะพัฒนาก้าวไกลถึงขนาดนี้  นายเท็ด โอซีอุส กล่าวว่า  “ ผมเคยอยู่เวียดนามในช่วงนั้น แม้ว่าพวกเราต่างหวังในสิ่งที่ดีงามที่สุด แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจะก้าวไกลดังปัจจุบัน  นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศได้มีคำพูดที่ถูกต้องเมื่อท่านมาเวียดนามเมื่อปีที่แล้วว่า สองประเทศเราได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อกระเถิบเข้าใกล้กันมากขึ้น เพื่อเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์และอนาคต ”

การขยายความเข้าใจกันและสร้างความไว้วางใจกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาใน ๒๐ ปีที่ผ่านมาเสมือนต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดด้วยความพยายามสูงสุดของทั้งสองฝ่ายนี่คือความคิดเห็นของนายเท็ด โอซีอุส เอกอัครราชทูตอเมริการประจำเวียดนาม  การผลักดันความไว้วางใจและขยายความเข้าใจกันเพื่อมุ่งสู่อนาคตคือแนวทางที่ผู้นำทั้งสองประเทศจะปฏิบัติเป็นอันดับต้นๆ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระดับสูงมีการจัดตั้งกลไกความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและยังร่วมมือกันในทุกด้านรวมทั้งปัญหาที่ถือว่ามีความอ่อนไหวเช่น สิทธิมนุษยชน การป้องกันประเทศและการแก้ไขปัญหาต่างๆหลังสงครามยุติลง  ปี๒๐๑๓ ถือเป็นปีที่มีหมายพิเศษในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐโดยสองประเทศได้สถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านที่มีปัญหาหลายประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ  นายฝ่าม บิ่นห์ มินห์ รองนายกฯได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวว่า  “ จากแนวคิดมุ่งสู่อนาคต เวียดนามและสหรัฐอเมริกาได้มีความพยายามเพื่อฝ่าฟันปัญหาในอดีตและมุ่งสู่อนาคต  ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ผ่านพ้นกรอบทวิภาคีโดยมีส่วนร่วมต่อสันติภาพ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกและโลกมากขึ้น  ความร่วมมือระหว่างสองประเทศเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียกับแปซิฟิกจะพัฒนาต่อไปถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกามีการพัฒนา ”

๒๐ ปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์และร่วมมือระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอเมริกาได้ประสบผลที่เป็นรูปธรรม  เนื่องในโอกาสฉลองความสัมพันธ์ดังกล่าว ท่านเหงวียน ฟู้ จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้ไปเยือนสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเยือนสหรัฐครั้งแรกของเลขาธิการใหญ่พรรคของเวียดนามและเป็นเครื่องหมายแห่งประวัติศาสตร์ให้แก่ก้าวเดินต่อไปในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ .

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด