ทหารอากาศเวียดนาม

เมื่อเดือนธันวาคมปี 1972 สหรัฐได้เปิดการโจมตีทางอากาศใส่ภาคเหนือเวียดนามเพื่อทำลายความสามารถด้านเศรษฐกิจ กลาโหมและทำให้ภาคเหนือเวียดนามกลับสู่ยุคหิน สร้างแรงกดดันให้เวียดนามต้องยอมลงนามข้อตกลงปารีสโดยมีข้อกำหนดที่สหรัฐได้เปรียบ

ในช่วงเวลา 12 วันคืนตั้งแต่วันที่ 18-30 ธันวาคมปี 1972 กองทัพและประชาชนเวียดนามได้ยิงเครื่องบินหลายรุ่นของกองทัพสหรัฐตกทั้งหมด 81 ลำ รวมทั้งเครื่องบินบี52 จำนวน 34 ลำโดยกองทัพและประชาชนกรุงฮานอยได้ยิงเครื่องบินตก 23 ลำอันเป็นการสร้างชัยชนะแห่งประวัติศาสตร์ “ฮานอย-เดียนเบียนฟูกลางเวหา”

ความหมายแห่งชาติ

ชัยชนะ “เดียนเบียนฟูกลางเวหา” แสดงให้เห็นถึงแนวทางทางการเมืองและการทูตที่ถูกต้องของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและสาส์น “ไม่มีอะไรที่มีค่ากว่าเอกราชและเสรีภาพ” นั่นคือชัยชนะของความแข็งแกร่งทางการเมือง จิตใจของประชาชาติด้วยความมุ่งมั่นกล้าต่อสู้เพื่อได้รับชัยชนะเหนือผู้รุกรานสหรัฐ ชัยชนะของแนวทางสงครามต่อสู้แห่งประชาชน พลโท เลฮวีหวิ่ง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศได้ยืนยันว่า “ด้วยความมุ่งมั่นอันแนวแน่ กองทัพและประชาชนเวียดนาม โดยกองกำลังทหารอากาศเป็นหลักได้ทำลายการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ของจักรวรรดินิยมอเมริกา นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ เครื่องบินบี 52 ถูกยิงตกและกองทัพอากาศสหรัฐได้รับความเสียหายที่หนักที่สุด”

ในกระบวนการต่อสู้กับสหรัฐเพื่อกู้ชาติ ชัยชนะนี้มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ทั้งด้านการเมือง การทหารและการทูต พันเอก ดร. เหงียนวันเลือง จากสถาบันประวัติศาสตร์การทหารเวียดนามได้แสดงความเห็นว่า “ฮานอย-เดียนเบียนฟูกลางเวหาเมื่อเดือนธันวาคมปี 1972 เป็นการทำลายความมุ่งมั่นรุกรานของจักรวรรดินิยมอเมริกา ทำให้สหรัฐต้องลงนามข้อตกลงปารีสยุติสงครามในเวียดนาม เปิดโอกาสและ ยุทธนาการใหญ่เพื่อทำการต่อสู้ครั้งใหญ่ฤดูใบไม้ผลิ 1975  ชัยชนะนี้คือหนึ่งในชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของประชาชาติเวียดนามในศตวรรษที่ 20 สร้างประวัติศาสตร์ทองเกี่ยวกับการต่อสู้ผู้รุกรานของประชาชาติ”

ชัยชนะ “ฮานอย-เดียนเบียนฟูกลางเวหา” ได้สร้างนิมิตหมายต่อการพัฒนาที่เป็นก้าวกระโดดของกองทัพอากาศ

สำหรับกองทัพ ชัยชนะ “ฮานอย-เดียนเบียนฟูกลางเวหา” ได้สร้างนิมิตหมายต่อการพัฒนาที่เป็นก้าวกระโดดของกองทัพอากาศ โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันภัยทางอากาศได้มีส่วนร่วมที่สำคัญต่อการพัฒนากลยุทธ์ต่อสู้ทางอากาศ สร้างพลังที่เข้มแข็งของวิทยาศาสตร์กลยุทธ์ทางทหารเวียดนาม พลโท เลฮวีหวิ่ง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศได้แสดงความเห็นว่า “ถ้าเปรียบเทียบการใช้อาวุธต่อสู้กับอาวุธ เศรษฐกิจสู้กับเศรษฐกิจ นี่คือความแตกต่างกันครั้งใหญ่ แต่เวียดนามได้รับชัยชนะ เนื่องจากเวียดนามได้เป็นฝ่ายรุก มีความคิดสร้างสรรค์ มุ่งมั่นต่อสู้และชัยชนะของกองทัพอากาศมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์อยู่เสมอ นั่นคือการเป็นฝ่ายรุกเพื่อเตรียมยุทธนาการและกลยุทธ์ ยืนหยัดปฏิบัติตามคำสั่งของประธานโฮจิมินห์ว่า ในทุกสถานการณ์ถึงแม้ในยามสันติหรือในยามสงคราม ถ้าพวกเราต้องเป็นฝ่ายรุกและเป็นผู้เดินหน้าก็สามารถหลีกเลี่ยงความเสียหายให้เหลือน้อยที่สุด”

ความหมายระดับโลก

ในสงครามต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกาเพื่อกู้ชาติ ตลอดจนในการต่อสู้ 12 วันคืนเมื่อปลายปี 1972 กับกองทัพอากาศสหรัฐ ประชาชนเวียดนามได้รับความสามัคคี การช่วยเหลือต่างๆ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย พลตรี เหงียนวันนิง ผู้ดูแลอุโมงค์บัญชาการ 12 วันคืนได้เผยว่า “ในงานด้านการเตรียมพร้อม ผู้เชี่ยวชาญของสหภาพโซเวียดได้ให้การช่วยเหลือกองทัพเวียดนามปรับปรุงขีปนาวุธครั้งที่ 3 เพื่อป้องกันการถูกรบกวนโดยคลื่นสัญญาณเพื่อสามารถยิงเครื่องบินบี 52 ตก 2 คือปรับปรุงระบบเรดาห์เป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งถ้าไม่มีการช่วยเหลือนี้ เวียดนามก็ไม่สามารถยิงเครื่องบินบี 52 ตกได้”

ทั้งนี้สำหรับโลก ชัยชนะ “เดียนเบียนฟูกลางเวหา” มีความหมายสำคัญต่อกระบวนการต่อสู้เพื่อสันติภาพ เอกราชประชาชาติ ประชาธิปไตยและความก้าวหน้าของสังคม

เวียดนามกำลังฉลองครบรอบ 45 ปีชัยชนะเดียนเบียนฟูกลางเวหา ความหมายทางประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์นี้คือบทเรียนที่ล้ำค่าให้แก่ภารกิจการสร้างสรรค์และพิทักษ์รักษาปิตุภูมิในปัจจุบัน.