(VOVWORLD) -วันที่7พฤษภาคมเมื่อ69 ปีที่แล้ว กองทัพและประชาชนเวียดนามได้สร้างชัยชนะเดียนเบียนฟู ครั้งประวัติศาสตร์และนำไปสู่การลงนามข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยการยุติสงครามและฟื้นฟูสันติภาพในอินโดจีน สร้างพื้นฐานที่สำคัญเพื่อเอื้อให้เวียดนามดำเนินภารกิจการรวมประเทศเป็นเอกภาพในปี 1975 และนับจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน เวียดนามและฝรั่งเศสก็กำลังพยายามร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์มิตรภาพและความร่วมมือที่เข้มแข็งเพื่อการพัฒนาอย่างดีงามต่อไป
บ่ายวันที่ 7/5/1954 กองทัพเวียดนามได้บุกยึดสนามรบเดียนเบียนฟูและปักธงชัยเหนืออุโมงค์ของนายพล De Castries (TTXVN) |
เดียนเบียนฟูเป็นศึกสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งระหว่างกองทัพและประชาชนเวียดนามกับกองทัพฝรั่งเศส ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่แอ่งกระทะเหมื่องแทงห์ เมืองเดียนเบียนฟู จังหวัดเดียนเบียน
ยุทธการเดียนเบียนฟู ก้าวสำคัญของกระบวนการปลดปล่อยชาติ
ในการประเมินเกี่ยวกับความหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชัยชนะเดียนเบียนฟู ประธานโฮจิมินห์เคยกล่าวว่า นั่นคือ "นิมิตหมายทองแห่งประวัติศาสตร์" เป็นมหากาพย์ที่อมตะของสงครามประชาชน ส่วนนายพล หวอเงวียนยาป ก็เคยกล่าวยืนยันว่า เวียดนามสามารถทำให้เรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ความฝันในตำนานกลายเป็นจริงได้
โดยชัยชนะครั้งนั้นได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่สำคัญต่างๆ นั่นคือการลงนามข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยการยุติสงครามเพื่อฟื้นฟูสันติภาพในอินโดจีน ยกเลิกแอกปกครองของฝรั่งเศสและรับรองเอกราชของสามประเทศอินโดจีนได้แก่ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา เป็นการปลดปล่อยประเทศเวียดนามได้ครึ่งหนึ่งและเปิดยุคแห่งการปฏิวัติใหม่ การสร้างสรรค์ภาคเหนือเวียดนามในบรรยากาศที่สันติเพื่อก้าวไปสู่สังคมนิยมพร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นแนวหลังที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงให้แก่กระบวนการปฏิบัติภารกิจการรวมประเทศเวียดนามให้เป็นเอกภาพ
ชัยชนะเดียนเบียนฟูไม่เพียงแต่ส่งผลอย่างเข้มแข็งต่อเส้นทางประวัติศาสตร์ของเวียดนามเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โลก เปิดทางให้แก่กระบวนการต่อสู้ช่วงชิงเอกราชของประเทศอาณานิคมต่างๆทั่วโลก นาย Jean Pouget ทูตของนายพลฝรั่งเศส Henri Navarre กล่าวว่า ทุกกระบวนการปฏิวัติปลดปล่อยชาติในเอเชีย แอฟริกา หรือในทวีปอเมริกาต่างก็ได้กล่าวถึงชัยชนะเดียนเบียนฟู ส่วน ดร. Christian C.Lentz จากมหาวิทยาลัย North Carolina Chapel Hill ประเทศสหรัฐได้กล่าวว่า ศึกสู้รบที่เดียนเบียนฟูได้มีผลต่อการเปลี่ยนสถานการณ์โลก โดยจากปี 1954 ถึง 1964 ได้มีประเทศที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส 17 จาก 22 ประเทศ ได้รับเอกราช ส่วนที่ทวีปแอฟริกาภายในปี 1960 ก็มี 17 ประเทศได้ประกาศเอกราชจนถูกระบุในประวัติศาสตร์ว่าเป็น "ปีแห่งแอฟริกา"
หน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของความสัมพันธ์เวียดนาม-ฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 12 เมษายนปี 1973 เป็นเวลา 19 ปีหลังชัยชนะเดียนเบียนฟู ฝรั่งเศสก็เป็นหนึ่งในประเทศตะวันตกแรก ๆ ที่ประกาศสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับเวียดนาม และตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่ 20 ฝรั่งเศสได้เป็นผู้นำหน้าในการช่วยเวียดนามชำระหนี้กับประเทศเจ้าหนี้ของสโมสร Paris Club ซึ่งเป็นกลุ่ม 22 ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่และร่ำรวย ที่ให้บริการทางการเงินและปล่อยกู้เพื่อภารกิจการฟื้นฟูประเทศ ผ่อนหนี้ เลื่อนหนี้หรือปลดหนี้ให้ประเทศที่ยากจน ถึงปี1993 นายฟรองซัวส์ มีแตร็อง ก็เป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนแรกที่เดินทางมาเยือนเวียดนาม ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของความสัมพันธ์กับเวียดนาม โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์และนโยบายของฝรั่งเศสต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียแปซิฟิก โดยนายฟรองซัวส์ มีแตร็อง ได้ประกาศ ณ กรุงฮานอยว่า: “ผมอยู่ที่นี่เพื่อปิดประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งและเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่”
นาย Benoit Guidée อธิบดีกรมเอเชีย-ออสเตรเลีย กระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศสกล่าวในพิธีรำลึก50ปีความสัมพันธ์ทางการทูตเวียดนาม-ฝรั่งเศส ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในฝรั่งเศส วันที่20เมษายน2023 |
เมื่อปี 2013 ในโอกาสครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองประเทศได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เวียดนาม-ฝรั่งเศส และในตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศสก็มีความเข้มแข็ง มีการขยายตัวในเชิงลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะทางด้านการค้า ด้วยการปฏิบัติข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม - สหภาพยุโรป (EVFTA) การค้าทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง สร้างมูลค่าเกือบ 7.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี2021และเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปีที่แล้ว และปัจจุบันในสหภาพยุโรป ฝรั่งเศสเป็นคู่ค้าแถวหน้าของเวียดนาม
ด้านความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ฝรั่งเศสเป็นนักอุปถัมภ์ยุโรปชั้นนำของเวียดนาม และเวียดนามอยู่อันดับที่ 2 ในกลุ่มประเทศในเอเชียที่ได้รับความช่วยเหลือในรูปให้เปล่าหรือโอดีเอจากฝรั่งเศส ด้วยจำนวนเงินทุนตามคำมั่นนับตั้งแต่ปี 1993 ที่สูงถึง 18.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นาย Benoit Guidée อธิบดีกรมเอเชีย-ออสเตรเลีย กระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศส แสดงความเห็นว่า“สิ่งที่สร้างพลังความสัมพันธ์พิเศษเวียดนาม-ฝรั่งเศส นอกเหนือการเจรจาทางการเมืองที่มีคุณภาพต่างๆคือระดับความเข้มข้นของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน โดยในทางเป็นจริง ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย ความสัมพันธ์ของฝรั่งเศสกับเวียดนามในส่วนของสมาคม ของวัฒนธรรม เยาวชน นักศึกษา หรือทางฝ่ายของนักวิจัยในทุกสาขานั้นก็มีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ สร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ”
ในส่วนของเวียดนามก็ได้ถือฝรั่งเศสเป็นหุ้นส่วนสำคัญในนโยบายต่างประเทศอยู่เสมอและได้พยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีนั้นให้มีการขยายตัวในเชิงลึกอย่างต่อเนื่อง นาย ดิงห์ตว่านทั้ง เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำฝรั่งเศส กล่าวว่า“ความสัมพันธ์เวียดนาม - ฝรั่งเศสได้สู่ระยะแห่งการพัฒนาใหม่ภายหลังครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตด้วยเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่างๆ อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเราได้สร้างความสามัคคีและได้รับการสนับสนุนที่ดีจากประชาชนทั้งสองประเทศ ส่วนในระดับผู้นำก็มีการหารือแลกเปลี่ยนความเห็นกันเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของความสัมพันธ์ทวิภาคีในอนาคตพร้อมเสาหลักที่สำคัญที่ต้องให้ความสนใจอันดับต้นๆเพื่อตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ 69 ปีนับตั้งแต่วันที่ธงชัยของกองทัพเวียดนามโบกสะบัดเหนืออุโมงผู้บัญชาการของนายพล เดอ กัสตรีส์ มาจนถึงปัจจุบัน ประชาชาติเวียดนามและฝรั่งเศสได้มีความมุ่งมั่นในกระบวนการพัฒนาร่วมกันเพื่อเป้าหมายสร้างก้าวพัฒนาใหม่และสร้างนิมิตหมายใหม่ให้แก่ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสองประเทศ./.