ในประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐได้เริ่มขึ้นก่อนปี 1995 แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นและต้องเผชิญหน้ากันในสงคราม ซึ่งสร้างความสูญเสียให้แก่ทั้งสองฝ่าย แต่ภายหลัง 40 ปีที่สงครามยุติลงและ20 ปีที่ทั้งสองประเทศปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ ความสัมพันธ์เวียดนาม – สหรัฐกำลังพัฒนาในหลายด้านบนพื้นฐานของการให้ความเคารพต่อกัน มีความเสมอภาคและได้ประโยชน์ร่วมกัน เมื่อปี 2000 ทั้งสองประเทศได้ลงนามในข้อตกลงการค้า และเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2013 ในกรอบการเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการของท่านเจืองเติ๊นซาง ประธานประเทศเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายได้ยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้าน

ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐนับวันได้รับการขยายตัวและกลายเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะหลังจากที่ข้อตกลงการค้าทวิภาคีมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2001 ซึ่งสามารถเห็นได้ชัดจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการค้าต่างตอบแทนจากปี 1995 ซึ่งอยู่ที่ 451 ล้านเหรียญสหรัฐได้เพิ่มขึ้นเป็น 3หมื่น 6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2014 และเวียดนามมีมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐกว่า 3 หมื่นพันล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่ปี 2015 สหรัฐได้กลายเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ปัจจุบัน เงินลงทุนโดยตรงของสหรัฐในเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่น 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่อันดับที่ 7 ในจำนวนประเทศและดินแดนที่ลงทุนในเวียดนามและเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและกำลังรอคอยแหล่งเงินลงทุนใหม่จากสหรัฐ

ในด้านการศึกษา เวียดนามเป็นประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจำนวนนักเรียนและนักศึกษากำลังศึกษาในสหรัฐมากที่สุด รวม 17,000 คน ส่วนโครงการก่อตั้งมหาวิทยาลัยตามรูปแบบของสหรัฐในเวียดนาม เช่น Fulbright ก็ได้รับการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว สหรัฐยังคงจัดสรรทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาเวียดนามต่อไปผ่านโครงการทุนการศึกษาต่างๆ เช่น Fulbright และกองทุนการศึกษาเวียดนามหรือวีอีเอฟ เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษในโครงการช่วยเหลือฉุกเฉินเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามโรคเอดส์ของสหรัฐ ทั้งสองฝ่ายกำลังปฏิบัติโครงการช่วยเหลือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในพื้นที่ป่าไม้และเขตที่ราบช่วงปี 2013-2017 ด้วยเงินทุนเบื้องต้นที่ 17 ล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนามช่วยเหลือกองทัพสหรัฐในการค้นหาทหารอเมริกันที่สูญหายในสงครามเวียดนาม ส่วนสหรัฐได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบมากขึ้นในการช่วยเหลือเวียดนามแก้ไขผลร้ายของสารพิษสีส้มและการเก็บกู้กับระเบิดที่หลงเหลือหลังสงคราม เป็นต้น

ในด้านความมั่นคงและกลาโหม เวียดนามและสหรัฐได้ขยายการสนทนาและโครงการร่วมมือต่างๆ โดยเวียดนามให้การต้อนรับเรือของกองทัพสหรัฐที่มาเยือนและทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการกู้ภัย เป็นต้น ปี 2014 สหรัฐประกาศยกเลิกส่วนหนึ่งของคำสั่งห้ามขายอาวุธสังหารต่อเวียดนาม เมื่อเดือนมิถุนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศได้ลงนามในแถลงการณ์เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยความสัมพันธ์กลาโหมทวิภาคี

เวียดนามและสหรัฐยังคงประสานงานกันอย่างใกล้ชิดในฟอรั่มพหุภาคี เช่น APEC ฟอรั่มภูมิภาคอาเซียน ARF การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประเทศอาเซียนขยายวงหรือ ADMM+ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกหรือ EAS และกรอบความร่วมมือยุทธศาสตร์สหรัฐ – อาเซียน เป็นต้น

การเยือนครั้งประวัติศาสตร์

การเยือนครั้งประวัติศาสตร์

ในหลายปีที่ผ่านมา ในการปฏิบัติแนวการต่างประเทศที่เปิดกว้างที่เปิดเผย พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามได้มีการพบปะกับพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคของสหรัฐคือพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน และรักษาความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์สหรัฐ การเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการครั้งนี้ของเลขาธิการใหญ่เหงียนฟู้จ่องถือเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์ ซึ่งมีขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ผู้นำสูงสุดระหว่างสองประเทศจะประเมินความสัมพันธ์ในตลอด 20 ปีที่ผ่านมาและวางแนวทางพัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีในอีก 20 ปีที่จะถึงตามเจตนารมณ์ร่วมกันมุ่งสู่อนาคต เสริมสร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับสหรัฐให้กว้างลึกยิ่งขึ้น นี่ยังเป็นโอกาสให้ทั้งสองประเทศสนทนากัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยเกี่ยวกับปัญหาที่ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งสองฝ่ายยังหารือและแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับปัญหาภูมิภาคและโลกที่ต่างให้ความสนใจ

การเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการของเลขาธิการใหญ่เหงียนฟู้จ่องก็เพื่อปฏิบัติแนวทางการต่างประเทศที่สันติภาพ เอกราช เป็นตัวของตัวเอง มิตรภาพ ความร่วมมือพหุภาคีและร่วมมือในหลายด้าน ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์กับประเทศใหญ่ๆ พัฒนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนเข้าสู่ส่วนลึกและยกระดับสถานะของเวียดนามบนเวทีโลก การเยือนครั้งนี้ยังเป็นการยืนยันถึงสถานะและบทบาทที่เป็นผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในระยะแห่งการผสมผสานอย่างเข้มแข็งของเวียดนามบนเวทีโลก./.