นาง อังเกลา แมร์เคิล ยุติเส้นทางการเมือง : อนาคตของเยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ

(VOVWORLD) - หลังจากดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียนหรือ CDU มาเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ เมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเยอรมนี อังเกลา แมร์เคิล ได้ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำพรรค CDU โดยไม่ลงสมัครเลือกตั้งหัวหน้าพรรคฯวาระใหม่ในเดือนธันวาคมนี้และจะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อครบวาระในปี 2021 ดังนั้นสิ่งที่น่าจับตามองคือการเมืองของเยอรมนีจะเป็นอย่างไรต่อไปหากขาดนาง อังเกลา แมร์เคิล
นาง อังเกลา แมร์เคิล ยุติเส้นทางการเมือง : อนาคตของเยอรมนีต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ - ảnh 1นาง แมร์เคิล (Photo Getty)

 

การตัดสินใจลงจากตำแหน่งผู้นำพรรค CDU ของนาง แมร์เคิล มีขึ้นหลังจากที่พรรคพันธมิตรประชาธิปไตย/คริสเตียนและโซเชียลยูเนียนหรือ CDU/CSU ได้พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่รัฐเฮ็สเซินและรัฐบาวาเรีย

ผลที่คาดเดาได้

ซึ่งการถอนตัวจากเวทีการเมืองของนาง อังเกลา แมร์เคิล ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกเพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในสถานการณ์การเมืองของเยอรมนีปัจจุบันเนื่องจากความนิยมในตัวนาง อังเกลา แมร์เคิลและพรรค CDU ได้ลดลงไปมากนับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2017 ซึ่งในตอนนั้นแม้เธอจะยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในวาระที่ 4 และพรรคพันธมิตรที่กุมอำนาจคือประชาธิปไตย/คริสเตียนและโซเชียลยูเนียนหรือ CDU/CSU ยังได้รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดในรัฐสภาแต่ผลการเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดของพรรคพันธมิตรฯในตลอด 70 ปีที่ผ่านมาในขณะที่พรรคชาตินิยมอื่นๆได้รับจำนวนที่นั่งในรัฐสภามากอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนีหรือ AfD ฝ่ายขวาก็มีที่นั่งในรัฐสภา

ขณะนั้น นักการเมืองและนักวิเคราะห์นานาชาติได้พยากรณ์เกี่ยวกับการเริ่มต้นของความไร้เสถียรภาพทางการเมืองครั้งใหม่ของเยอรมนี นับตั้งแต่ที่นาง แมร์เคิล ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค CDU เมื่อปี 2000 และนายกรัฐมนตรีเยอรมนีเมื่อปี 2005 เธอได้รับการประเมินว่า เป็นนักการเมืองหญิงที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก โดยในฐานะผู้นำเศรษฐกิจรายใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปหรืออียู เธอได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำตัวจริงของอียูเนื่องจากได้สร้างนิมิตหมายสำคัญต่างๆในด้านเศรษฐกิจและการทูตต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหาวิกฤตยูโรโซน

แต่อย่างไรก็ตาม นโยบายเปิดประเทศรับผู้อพยพเพื่อแก้ไขวิกฤตผู้อพยพในยุโรปเมื่อปี 2015 ที่ช่วยให้เธอกลายเป็นบุคคลแห่งปีของนิตยาสาร Time กลับเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอพ่ายแพ้ในวันนี้ โดยมีผู้อพยพกว่า 1.5 ล้านคนได้รับอนุญาตให้เข้าเยอรมนีตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งส่งผลให้พรรค CDU สูญเสียเสียงสนับสนุนจำนวนมากจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งแนวอนุรักษ์นิยม

อนาคตของเยอรมนีและอียูจะเป็นอย่างไร

แม้ตัวนาง อังเกลา แมร์เคิล ถือการตัดสินใจดังกล่าวคือโอกาสในการ “เปิดหน้าใหม่” ให้แก่ประเทศเยอรมนีแต่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การเมืองของเยอมนีจะประสบความท้าทายเป็นอย่างมากในเวลาข้างหน้า โดยก่อนอื่นคือ ถ้าหากนาง แมร์เคิล ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค CDU อีก ในเวลาที่เหลือของวาระนี้ ชื่อเสียงและเสียงพูดของเธอเกี่ยวกับนโยบายต่างๆของรัฐบาลจะขาดอิทธิพลลงอย่างเห็นได้ชัดและหากพรรคพันธมิตรไม่สามารถไปต่อกันได้ ก็จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดและนาง แมร์เคิลจะต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเยอรมนีก่อนหมดวาระ

สิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากประชามติในขณะนี้คือ ใครจะสืบทอดอำนาจต่อจากนาง แมร์เคิลเพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนี การยุติ “ยุคแห่งแมร์เคิล” ซึ่งเป็นบุคคลที่ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีเสถียรภาพจะทำให้เยอรมนีต้องเผชิญกับอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง โดยเฉพาะในสภาวการณ์ที่สถานการณ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศล้วนมีความซับซ้อนต่างๆ ด้านปัญหาภายในประเทศนั้น ในหลายปีมานี้ นโยบายเปิดรับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยกว่า 1 ล้านคนของนาง แมร์เคิลได้ถูกตำหนิอย่างหนักเพราะถูกมองว่า นโยบายนี้ได้ทำลายโครงสร้างของสังคมเยอรมนีทำให้เกิดความขัดแย้งทางวัฒนธรรมและศาสนา ควบคู่กันนั้น นโยบาย “รัดเข็มขัด” ของรัฐบาลกลางในหลายปีมานี้ก็ได้สร้างความไม่พอใจต่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ส่วนในด้านการต่างประเทศ นโยบายคุ้มครองการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ นโยบายคว่ำบาตรรัสเซียอย่างเข้มงวดและความแตกแยกภายในสหภาพยุโรป เป็นต้น ล้วนเป็นความท้าทายที่เยอรมนี ประเทศได้รับบทบาทเป็นหัวเรือของอียูต้องเผชิญ

อาจกล่าวได้ว่า ความมีเสถียรภาพของเยอรมนีและสหภาพยุโรปจะประสบอุปสรรคต่างๆหากนาง แมร์เคิลถอนตัวออกจากเวทีการเมือง ซึ่งการตัดสินใจของเธอถือเป็นการสะท้อนความแตกแยกทางการเมืองภายในยุโรปที่นับวันรุนแรงมากขึ้น การฟื้นตัวของลัทธิประชานิยมในยุโรปตะวันออกและประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนโดยเฉพาะการพ่ายแพ้ของพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยสวีเดนเมื่อเร็วๆนี้ อาจจะสร้างกระแสที่สามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของยุโรปอย่างสิ้นเชิงในเวลาข้างหน้า.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด