ปี๒๐๑๓ ถือเป็นนิมิตรหมายแห่งการพัฒนาใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ

(VOVworld) –  ปี๒๐๑๓ เวียดนามและสหรัฐได้กำหนดกรอบความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านอย่างเป็นทางการซึ่งไม่เพียงแต่สร้างพื้นฐานให้แก่กลไกการร่วมมือทวิภาคีเท่านั้นหากยังมีส่วนร่วมให้แก่สันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือและการพัฒนาในเอเชีย แปซิฟิกและโลกอีกด้วย

(VOVworld) –  ปี๒๐๑๓ เวียดนามและสหรัฐได้กำหนดกรอบความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านอย่างเป็นทางการซึ่งไม่เพียงแต่สร้างพื้นฐานให้แก่กลไกการร่วมมือทวิภาคีเท่านั้นหากยังมีส่วนร่วมให้แก่สันติภาพ เสถียรภาพ ความร่วมมือและการพัฒนาในเอเชีย แปซิฟิกและโลกอีกด้วย

ปี๒๐๑๓ ถือเป็นนิมิตรหมายแห่งการพัฒนาใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ - ảnh 1
ประธานประเทศเวียดนามเจืองเติ้นซางและประธานาธิบดีสหรัฐบารัก โอบามาที่ทำเนียบขาว (Photo:VNA)

ปี๒๐๑๓ กิจกรรมการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนระหว่างสองประเทศได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและคึกคัก บรรดาผู้นำของเวียดนาม เช่น ท่านเจืองเติ้นซางประธานประเทศ ท่านเหงวียนเติ้นหยุงนายกรัฐมนตรี และท่านเหงวียนซวนฟุก รองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ ส่วนฝ่ายเวียดนามเองก็ได้ให้การต้อนรับบรรดารัฐมนตรีของสหรัฐได้แก่ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข ตัวแทนการค้า รองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บัญชาการองทัพเรือสหรัฐอเมริกาประจำภาคพื้น แปซิฟิก และรัฐมนตรีต่างประเทศจอห์น แครีซึ่งได้มีส่วนร่วมสร้างความไว้วางใจทางการเมืองและเปิดความร่วมมืออย่างกว้างลึกในหลายด้าน โดยเฉพาะ การกำหนดกรอบความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้าน ปี๒๐๑๓ ที่ถือเป็นนิมิตรหมายสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ท่านเหงวียนก๊วกเกื่องเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำสหรัฐเห็นว่า ภายหลัง๑๘ปีที่ปรับความสัมพันธ์เป็นปกติ เวียดนามและสหรัฐได้เดินมาอย่างยาวไกลบนเส้นทางแห่งการสมานแผลสงครามและสร้างกรอบความสัมพันธ์ที่น่าเชื่อถือ  อย่างไรก็ดี เพื่อมีกลไกการร่วมมือที่มีเสถียรภาพในระยะยาว ก็ต้องกำหนดกรอบความสัมพันธ์ใหม่ซึ่งทั้งสองประเทศได้พยายามปฏิบัติให้แล้วเสร็จในปี๒๐๑๓  การออกแถลงการณ์กำหนดความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างเวียดนามกับสหรัฐอย่างเป็นทางการในการเยือนสหรัฐของท่านเจืองเติ้นซางประธานประเทศ เมื่อเดือนกรกฎาคมปี๒๐๑๓ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ท่านเหงวียนก๊วกเกื่องยืนยันว่า“หลังจากที่กำหนดความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้าน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง  ต่างประเทศ ความมั่นคง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษา เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและการค้า ทั้งสองประเทศกำลังทำการเจรจาข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกหรือTPPกับอีก๑๐ประเทศให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ความสัมพันธ์ทางการค้าก็มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ส่วนในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อเร็วๆนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจอห์น แครี และ รัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนามฝ่ามบิ่งมินห์ได้ลงนามในข้อตกลง๑๒๓ซึ่งเปิดโอกาสให้แก่ความร่วมมือในด้านนิวเคลียร์พลเรือนมากขึ้น”

            ในด้านการศึกษาและฝึกอบรม ปัจจุบัน สหรัฐกำลังประสานกับเวียดนามเพื่อจัดตั้งมหาวิทยาลัย๑แห่ง ในปี๒๐๑๓ จำนวนนักเรียนและนักศึกษาเวียดนามที่ศึกษาในสหรัฐเพิ่มขึ้น เวียดนามเป็นประเทศที่ส่งนักเรียนและนักศึกษาไปศึกษาในสหรัฐมากที่สุดในจำนวน๑๐ประเทศสมาชิกอาเซียน  ส่วนในโอกาสการเยือนเวียดนาม เมื่อเดือนธันวาคมปี๒๐๑๓ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจอห์น แครี กล่าวว่า “การศึกษาและ ฝึกอบรม  ความสนใจเป็นอันดับต้นๆต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเป็นพื้นฐานที่มั่นคงให้แก่ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านระหว่างสองประเทศ  ปัจจุบัน มีนักศึกษาเวียดนามกว่า๑หมื่น๖พันคนกำลังศึกษาในสหรัฐซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดานักศึกษาต่างชาติในสหรัฐ โครงการทุนการศึกษาFullbright เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศประสบความสำเร็จ และพวกเรากำลังมุ่งสู่การจัดตั้งมหาวิทยาลัยในเวียดนามในเร็วๆนี้”

            ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคงไม่มีประเทศใดที่ไม่มีอุปสรรคซึ่งความ สัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสหรัฐก็ยังคงมี  ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่โดยที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือความคิดเห็นที่แตกต่างกันในปัญหาประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน กำแพงภาษีศุลกากรและปลอดภาษีศุลกากรทางการค้า แต่ผู้นำทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันว่า วิธีการแก้ไขความแตกต่างกันดังกล่าวที่ดีที่สุดคือ การสนทนา ขยายความเข้าใจ และลดความแตกต่าง

ร่วมมือกันเพื่อร่วมกันพัฒนา

            ความพยายามของทั้งสองฝ่ายได้นำไปสู่การปรับความสัมพันธ์เป็นปกติ เมื่อเดือนกรกฎาคมปี๑๙๙๕ ภายหลัง๑๘ปี บนเจตนารมณ์“ปิดฉากในอดีต มุ่งสู่อนาคต” เวียดนามและสหรัฐสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์โดยการกำหนดกรอบความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่ความสัมพันธ์ในอนาคต ในการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุเวียดนามในการเยือนเวียดนาม เมื่อกลางเดือนธันวาคมปี๒๐๑๓ที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐจอห์น แครีได้กล่าวว่า“สองประเทศเรามีอดีตที่ไม่ราบรื่น ผมรู้สึกมีความประทับใจต่อการเยือนเวียดนาม ตั้งแต่การร่วมกันหารือเพื่อยกเลิกคำสั่งคว่ำบาตร ปรับความสัมพันธ์เป็นปกติ และปัจจุบันคือ การผลักดันความสัมพันธ์เพื่อให้ทั้งสองประเทศก้าวไปสู่การพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง เวียดนามเป็นหุ้นส่วนสำคัญของสหรัฐ และพวกเราให้คำมั่นว่า จะผลักดันความสัมพันธ์นี้ในเวลาข้างหน้า”

เมื่อหวนมองดูประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ จะเห็นได้ว่า การปรับความสัมพันธ์เป็นปกติไม่อาจเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการสนทนาอย่างจริงใจระหว่างทางการของทั้งสองประเทศ แม้จะเป็นปัญหาที่อ่อนไหวก็ตาม ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านที่ได้รับการกำหนดในปี๒๐๑๓เป็นพื้นฐานเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศประสบผลสำเร็จใหม่ๆต่อไป./.

Huyền-VOV5


คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด