ผลที่ตามมาเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความตึงเครียด

(VOVWORLD) - ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ที่อดีตประธานาธิบดี Richard Nixon ปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เป็นปกติเมื่อปี 1972 การที่ 2 ประเทศมหาอำนาจมีปฏิบัติการโต้ตอบกันได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีและด้านที่สำคัญๆในทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจและการค้า
ผลที่ตามมาเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนทวีความตึงเครียด - ảnh 1 Photo AP

ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายต่างใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อตอบโต้กัน เช่น การเพิ่มข้อจำกัดด้านวีซ่า การเดินทางเพื่อการทูต ทำการเนรเทศผู้สื่อข่าว และล่าสุดคือการสั่งปิดสถานกงศุลของแต่ละฝ่าย ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศทวีความตึงเครียดมากขึ้น

ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ

ทั้งจีนและสหรัฐต่างได้รับผลกระทบจากการตอบโต้กันด้านภาษีศุลกากรที่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2018 ซึ่งสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในช่วงต้นปี 2020 หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 โดยประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้วางแผนจัดการเจรจาการค้าระยะที่ 2 กับจีนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 บวกกับความตึงเครียดเมื่อเร็วๆนี้ได้ทำให้การเจรจาระยะที่ 2 นี้ยากที่จะถูกจัดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะว่า สหรัฐยังคงเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ที่สุดของจีน ถึงแม้หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศคำสั่งคว่ำบาตรด้านภาษีศุลกากรต่อสินค้าของจีนก็ตาม ส่วนจีนก็เป็นตลาดรายใหญ่อันดับ 3 ของผู้ส่งออกสหรัฐ โดยเฉพาะเป็นตลาดสำคัญเกี่ยวกับสินค้าและการบริการ ซึ่งบริษัทรายใหญ่ๆของสหรัฐ เช่น General Motors และ Burger King ได้เลือกเป็นฐานการผลิต ตามข้อมูลสถิติ มูลค่าการนำเข้าสินค้าการเกษตรและสินค้าอื่นๆจากสหรัฐของจีนได้ลดลงร้อยละ 11.4 ในปี 2019 แต่มูลค่ายังคงบรรลุกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกัน การส่งออกไปยังประเทศจีนได้สร้างงานทำให้แก่ชาวอเมริกันเกือบ 1 ล้านคนถึงแม้ได้ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับอัตราที่สูงที่สุดคือเมื่อปี 2017 ก็ตาม

ในด้านเทคโนโลยี บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐได้เผชิญความเสี่ยที่รายได้จะลดลงเนื่องจากต้องเพิ่งพาการผลิตชิ้นส่วน smart phone เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จากโรงานในจีน ควบคู่กันนั้น การจำกัดบริษัทหัวเว่ยของจีนไม่ให้เข้าถึงอุปกรณ์และเทคโนโลยีของสหรัฐได้ส่งผลให้บริษัทต่างๆรวมทั้งบริษัทใน Silicon Valey สูญเสียรายได้ถึงนับพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้ จีนกำลังเรียกร้องให้ผู้ส่งออกภายในประเทศหาตลาดใหม่ๆเพื่อทดแทนตลาดสหรัฐ

ความผันผวนของความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ

ความสัมพันธ์จีน – สหรัฐเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาประเทศมหาอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนที่เพิ่มมากขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสองประเทศนี้เท่านั้น หากยังส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆในทั่วโลกอีกด้วย นาย Jeffrey Sachs ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย Columbia สหรัฐแสดงความคิดเห็นว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความชะงักงันโดยไม่มีผู้นำ พร้อมทั้งเตือนว่า ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้จะส่งผลกระทบทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ผลการวิจัยของบริษัทต่างๆใน Wall Street เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพากันในตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาระหว่างสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้แสดงให้เห็นว่า โลกนับวันถูกแบ่งขั้วมากขึ้น โดยเศรษฐกิจและสถานประกอบการต่างๆ ต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายสหรัฐหรือจีน

ส่วนในรายงานเกี่ยวกับศักยภาพในครึ่งปีที่เหลือ กลุ่มบริษัทที่ดูแลการลงทุนทั่วโลกของสหรัฐ BlackRock ได้เผยว่า การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับจีนจะส่งผลให้ทุกประเทศต้องเลือกข้างและจะบานปลายไปยังด้านอื่น ๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่ด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

ในช่วงต้นปี 2020 ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนได้มีความผันผวนเป็นอย่างมากและความตึงเครียดในปัจจุบันก็ยากที่จะแก้ไขได้ภายในครึ่งหลังของปี 2020 ซึ่งหมายความว่า ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจนี้จะยังคงดำเนินต่อไปและประชามติก็ต้องอยู่กับความกังวลนี้ต่อไปเช่นกัน.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด