วาระใหม่ของประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
Hong Van- VOV5 -  
(VOVWORLD) -หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 24 เมษายน ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงจะบริหารประเทศต่ออีกสมัยเป็นเวลา 5 ปี แต่อย่างไรก็ดี บรรดานักวิเคราะห์เห็นว่า ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความแตกแยกภายในประเทศ
ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง (Photo: AFP/TTXVN) |
ตามการประกาศของกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส นาย เอ็มมานูเอล มาครง อายุ 44 ปี ตัวแทนของพรรคอองมาร์ช (LREM)ได้รับเสียงสนับสนุนร้อยละ 58.55 ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่ 2 ส่วนคู่แข่งคือนาง มารี เลอเพน ได้รับเสียงสนับสนุนร้อยละ 41.45
การเสริมสร้างความสมานฉันท์กับประชาชน
บรรดานักวิเคราะห์เห็นว่า การดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 นี้ของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงต้องเผชิญกับอุปสรรคไม่น้อย โดยต้องส่งเสริมความสามัคคีสมานฉันท์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการเสริมสร้างความสมานฉันท์กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ซึ่งนาง มารี เลอเพนเคย กล่าวถึงเรื่องนี้หลังการเลือกตั้ง โดยบอกว่าเสียงสนับสนุนของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงที่ลดลงในการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะของฝ่ายค้าน ดังนั้น ในการกล่าวปราศรัยต่อหน้าผู้สนับสนุนเมื่อค่ำวันที่ 24 เมษายน ณ กรุงปารีส ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงจึงได้ย้ำว่า ความรับผิดชอบของตัวเขาคือต้องหาคำตอบเกี่ยวกับความไม่พอใจและความขัดแย้งที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสสนับสนุนฝ่ายขวาจัด พร้อมทั้งยืนยันว่า เขาต้องการที่จะเป็นประธานาธิบดีของชาวฝรั่งเศสทุกคน
ถ้าหากประสบความสำเร็จในการสร้างความสมานฉันท์กับผู้ที่สนับสนุนฝ่ายขวาจัด ก็จะเป็นความได้เปรียบสำหรับประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ก่อนที่จะเดินหน้าปฏิบัติแผนการปฏิรูปต่างๆ โดยเฉพาะ การปฏิรูปการจ่ายเงินบำนาญและการเพิ่มอายุการเกษียณราชการจาก 62 ปีเป็น 65 ปี ซึ่งอาจถูกคัดค้านจากประชาชน โดยผู้ที่คัดค้านแผนการปฏิรูปเงินบำนาญได้เตือนว่า จะบังคับให้ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ต้องยอมรับอายุเกษียณราชการคือ 64 ปี แต่มีบางคนเห็นว่า แม้มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการชุมนุมแต่ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืน
อีกหนึ่งปัญหาที่ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงต้องแก้ไขในวาระนี้คือปัญหาราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงได้กำหนดเพดานค่าไฟฟ้าและลดค่าไฟไปจนถึงหลังการเลือกตั้ง ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่เมืองมาร์เซย์ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงได้ประกาศว่า จะปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศของฝรั่งเศส แต่นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมก็ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับเป้าหมายของนาย มาครงเนื่องจากทั้งนาย เอ็มมานูเอล มาครงและนาง มารี เลอเพนต่างไม่ได้กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมในการโต้วาทีผ่านทางสถานีโทรทัศน์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบที่สอง
ในเดือนมิถุนายนนี้ จะมีการจัดการเลือกตั้งรัฐสภาฝรั่งเศส โดยผลการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อปี 2017 สร้างความได้เปรียบให้แก่ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงแต่ผลการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งนี้ยากที่จะคาดเดาได้ บรรดานักวิเคราะห์เห็นว่า ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ได้รับอานิสงค์จากเสียงคัดค้านนาง มารี เลอเพน ด้วย ดังนั้น เวทีการเมืองฝรั่งเศสกำลังเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ใกล้ชิดกับอียูของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง กลุ่มฝ่ายชาตินิยมของนาง มารี เลอเพน และกลุ่มฝ่ายซ้ายของนาย Melenchon ซึ่งแต่ละกลุ่มได้รับเสียงสนับสนุน 1 ใน 3 เสียง ซึ่งการบริหารประเทศของรัฐบาลยากที่จะราบรื่นเนื่องจากจะมีเสียงคัดค้านในรัฐสภาถึง 2ใน 3 ในการกล่าวปราศรัยต่อหน้าผู้สนับสนุน นาง มารี เลอเพนได้เผยว่า จะเตรียมความพร้อมให้แก่การเลือกตั้งรัฐสภาที่จะถึง
ความท้าทายในการยืนยันบทบาทของฝรั่งเศสในยุโรป
การส่งเสริมความใกล้ชิดกับยุโรปเป็นหนึ่งในเป้าหมายของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง นับตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปี 2017 โดยอยากเปลี่ยนแปลงนโยบายการเดินทางระหว่างประเทศสมาชิกอียู มีอัตราภาษีร่วมในกลุ่ม พัฒนาเทคโนโลยีและผลักดันการปกป้องประเทศสมาชิกอียู มุ่งสู่ยุโรปที่กระตือรือร้นและมียุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งเป็นโครงการที่ได้รับการประเมินว่า มีความทะเยอทะยาน และต้องเผชิญกับความท้าทายไม่น้อยจากประเทศสมาชิกอียู
แต่อย่างไรก็ดี ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดต่อประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครงคือสถานการณ์ในยูเครน ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านความมั่นคง ระเบียบภูมิรัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์ต่างๆในยุโรป ก่อนเกิดการปะทะ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง พร้อมผู้บริหารคณะกรรมาธิการยุโรปได้วางแผนการจัดการประชุมสุดยอดด้านกลาโหมครั้งแรกของอียูในเดือนมีนาคมปี 2022 ณ กรุงปารีส มุ่งสู่การพัฒนาอียูให้เป็นพันธมิตรด้านกลาโหม แต่ในการพบปะ ณ พระราชวังแวร์ซาย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม บรรดาผู้นำยุโรปกลับต้องหารือกันเฉพาะเรื่องสถานการณ์ในยูเครนและการรับมือของยุโรป บทบาทของนาโต้ได้รับการฟื้นฟูและบรรดาประเทศสมาชิกอียูไม่กล่าวถึงการจัดตั้งกองกำลังทหารร่วม ในฐานะเป็นประเทศที่รณรงค์การพึ่งพาตนเองเชิงยุทธศาสตร์ของอียู ทั้งฝรั่งเศสและประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง จะประสบอุปสรรคมากมายในการผลักดันการปฏิบัติแผนการนี้ในขณะที่สถานการณ์การปะทะในยูเครนยังคงมีความซับซ้อนมาก ซึ่งปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่ในวาระแรก ความท้าทายเพื่อเสริมสร้างสถานะในยุโรปหรืออัตราผู้สนับสนุนที่ลดลงได้แสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ต้องเผชิญกับอุปสรรคไม่น้อยในวาระที่ 2 นี้.
Hong Van- VOV5