(VOVWorld) – หลังจากที่ทำการเจรจามากว่า๗ปี วันที่๒เมษายน สหประชาชาติได้อนุมัติสนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธครั้งประวัติศาสตร์หรือATTซึ่งได้ช่วยแก้ไขความชงักงันในการปรับปรุงการค้าอาวุธธรรมดาในขอบเขตโลก แม้ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้จะมีข้อใหม่มากมาย แต่ผู้สันทัดกรณีเห็นว่า ยังมีข้อบกพร่อง โดยเฉพาะ สนธิสัญญานี้ไม่สามารถห้ามการขายอาวุธให้แก่กลุ่มก่อความรุนแรงและกองกำลังนอกแถวต่างๆ

สหประชาชาติได้อนุมัติสนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธหรือATT(Photo:Internet)

สนธิสัญญาควบคุมการค้าอาวุธระหว่างประเทศถือเป็นเครื่องมือเพื่อตรวจสอบตลาดอาวุธระหว่างประเทศ โดยมีรายการต่างๆ รถถัง รถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ที่มีลำกล้องขนาดใหญ่ เครื่องบินรบ เฮลิคอฟเต้อร์โจมตี เรือรบ จรวด อาวุธขนาดเล็กและอาวุธเบา คิดเป็นมูลค่า๘หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี  ประเด็นหลักของเอกสารฉบับนี้คือข้อกำหนดเกี่ยวกับการขนย้ายอาวุธธรรมดาข้ามแดนซึ่งตามนั้น ประเทศสมาชิกต้องควบคุมการส่งออกอาวุธเพื่อค้ำประกันว่า อาวุธที่ขายไปจะไม่ถูกนำไปใช้ในการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน การก่อการร้าย  แก็งอาชญากรรมหรือก่อสงคราม รัฐบาลต่างๆก็ต้องยับยั้งการนำอาวุธไปจำหน่ายในตลาดมืดซึ่งจากหน้าที่นั้น บรรดานักเคลื่อนไหวด้านการควบคุมอาวุธและกลุ่มสิทธิมนุษยชนหวังว่า จะสามารถสกัดกั้นแหล่งขายอาวุธที่ไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งถูกนำไปใช้ในการก่อสงครามหรือก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ   หลังจากสนธิสัญญานี้ได้รับการอนุมัติ ประเทศต่างๆได้มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกัน เช่น  ท่านบันคีมูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติได้แสดงความเชื่อมั่นว่า  สนธิสัญญานี้จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งพฤติกรรมละเมิดกฏบัตรสิทธิมนุษยชน และกฏบัตรมนุษยธรรมระหว่างประเทศ วอชิงตันแสดงความยินดีต่อการอนุมัติสนธิสัญญาฉบับนี้ โดยนายจอห์น แครี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า สนธิสัญญาฉบับนี้มีความเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และสามารถปฏิบัติได้จริง  ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษวิลเลี่ยม เฮก กล่าวว่า นี่เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของสหประชาชาติ

เครื่องบินรบF๓๕ซึ่งเป็นอาวุธที่สหรัฐสั่งซื้อมากที่สุด (Photo:Internet)

นอกจากช่องโหว่ที่ไม่สามารถยับยั้งการขนย้ายอาวุธให้แก่กลุ่มก่อการร้ายแล้ว สนธิสัญญานี้ยังถูกครอบงำจากความสามารถในการปฏิบัติ ผู้ที่สนับสนุนสนธิสัญญาครั้งประวัติศาสตร์นี้ก็ต้องยอมรับว่า การอนุมัติสนธิสัญญานี้เป็นการเริ่มต้น ก้าวต่อไปคือต้องมีแผนการรณรงค์ปฏิบัติ นายJuan Manuel Gomez Robledo รองนายกรัฐมนตรีดูแลความสัมพันธ์พหุภาคีของเม็กซิโกกล่าวว่า ขณะนี้ งานที่ยากลำบากได้เริ่มขึ้นแล้วซึ่งคำเตือนนี้ถูกต้องเพราะสมาพันธ์ปืนแห่งชาติที่ได้รณรงค์รัฐบาลสหรัฐคัดค้านสนธิสัญญานี้มาหลายปี ประกาศว่า จะรณรงค์เพื่อให้รัฐสภาสหรัฐไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาฉบับนี้และยืนยันว่า สนธิสัญญานี้ละเมิดรัฐธรรมนูญของสหรัฐและส่งผลกระทบในทางลบต่อความมั่นคงของชาติ   ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สนธิสัญญานี้เป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับอาวุธของประชาคมโลกต่อจากสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในทุกด้านปี๑๙๙๖ อย่างไรก็ดี สนธิสัญญานี้มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติหรือไม่ก็เป็นอีกปัญหา  การลงนามสนธิสัญญานี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่๓มิถุนายนโดยจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อมีประเทศให้สัตยาบันครบ๕๐ประเทศจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมด๑๙๓ประเทศ และกระบวนการลงนามจะใช้เวลา๒ปี  ./.