เชื่อมสัมพันธ์เพื่อแบ่งเบาความปวดร้าวของสงคราม

(VOVworld)- สำหรับทหารผ่านศึกอเมริกันหลายคนที่เคยเข้าร่วมสงครามในเวียดนาม การกลับมามีส่วนร่วมแม้จะน้อยนิดเพื่อสมานแผลสงครามให้แก่คนท้องถิ่นคือความปรารถที่พวกเขาพยายามปฏิบัติเพื่อชดเชยความผิดและแบ่งเบาความปวดร้าวแห่งสงครามที่สหรัฐก่อขึ้นในเวียดนาม
(VOVworld)- สำหรับทหารผ่านศึกอเมริกันหลายคนที่เคยเข้าร่วมสงครามในเวียดนาม การกลับมามีส่วนร่วมแม้จะน้อยนิดเพื่อสมานแผลสงครามให้แก่คนท้องถิ่นคือความปรารถที่พวกเขาพยายามปฏิบัติเพื่อชดเชยความผิดและแบ่งเบาความปวดร้าวแห่งสงครามที่สหรัฐก่อขึ้นในเวียดนาม
เชื่อมสัมพันธ์เพื่อแบ่งเบาความปวดร้าวของสงคราม - ảnh 1
ทหารผ่านศึกอเมริกันเยือนเวียดนาม

ตลอด25ปีที่ผ่านมา นายรอยไมค์ โบอิมห์ ได้กลับมาเยือนจ.กว๋างหงาย ในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปีเพื่อปฏิบัติกิจกรรมการกุศลและสีไวโอลินที่อนุสาวรีย์ร่องรอยสงครามเซินหมีเพื่อเป็นการขอให้ดวงวิญญาณของชาวบ้านกว่า500คนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวบ้านหมีลายเมื่อปี1968ไปสู่สวรรค์ โดยเขาถือว่านี่คือวิธีการที่ช่วยให้จิตใจสบายขึ้น และความรู้สึกผิดในโทษกรรมของตนที่ฝังลึกในใจเบาบางลงได้บ้าง  ในหลายปีที่ผ่านมาด้วยความปรารถนาในการสมานแผลสงครามระหว่างสองฝ่าย เขาไม่เพียงแต่ได้รณรงค์เรียกร้องให้มิตรประเทศช่วยสนับสนุนการก่อสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กๆที่เซินหมีเท่านั้นหากยังช่วยสร้างบ้านเอื้ออาธรให้แก่สตรี ทหารผ่านศึกและผู้เคราะห์ร้ายจากสารพิษสีส้มในจ.กว๋างหงายอีกหลายพันคน

ก็เหมือนกับนายรอยไมค์ โบอิมห์ ที่เลือกการรักษาแผลสงครามในจิตใจด้วยการกลับมาเวียดนาม นายซูล์จอนห์ ประธานองค์กรทหารผ่านศึกเพื่อสันติภาพของสหรัฐหรือวีเอฟพี ซึ่งเคยเป็นทหารสู้รบที่สมรภูมิกว๋างตริช่วงปี1968-1969ก็ได้เดินทางกลับมาเวียดนามครั้งแรกเมื่อปี1998พร้อมด้วยความไหวหวั่นในจิตใจเกี่ยวกับประเทศและคนท้องถิ่นแต่ความรู้สึกนั้นได้หายไปเพราะการให้อภัย ความเมตตาและไมตรีจิตที่อบอุ่นของชาวเวียดนาม ความประทับใจในครั้งแรกนั้นได้เป็นแรงจูงใจให้เขาไปพบปะพูดคุยเรื่องผลร้ายของสงครามและสารพิษสีส้มในเวียดนามให้ชาวอเมริกันได้รับทราบ ถึงปี2000เขาได้กลับมาที่เวียดนามในฐานะตัวแทนของคณะกรรมการหมู่บ้านมิตรภาพระหว่างประเทศและนับตั้งแต่นั้นมาเวียดนามคือจุดหมายปลายทางของเขาเพื่อแปรความปรารถนาให้เป็นรูปธรรมทุกคนต่างคิดว่าสงครามในเวียดนามได้สิ้นสุดลงและนั่นเป็นเรื่องจริงอยู่แต่มันยังคงทิ้งผลพวงที่ร้ายแรงทำให้ชาวเวียดนามหลายรุ่นกลายเป็นเหยื่อของสารพิษสีส้มและกับระเบิด ดังนั้นหน้าที่ของผมคือทำให้ชาวอเมริกันรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเวียดนามและผลร้ายที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและผมจะพยายามอย่าสุดความสามารถเพื่อเป้าหมายนี้
เชื่อมสัมพันธ์เพื่อแบ่งเบาความปวดร้าวของสงคราม - ảnh 2
นายซูล์จอนห์กับเด็กที่หมู่บ้านมิตรภาพ

พูดแล้วก็ทำจริง ปี2005นายซูล์จอนห์ได้ร่วมกับทหารผ่านศึกอเมริกันหลายคนเขียนจดหมายเปิดผนึกเพื่อรณรงค์ให้ชาวอเมริกันร่วมมือแบ่งเบาความปวดร้าวจากสงครามและให้คำมั่นเพื่อมิตรภาพและสันติภาพระหว่างสองประชาชาติ นอกจากนั้นตั้งแต่ปี2008จนถึงปัจจุบันทหารผ่านศึกอเมริกันได้ให้การสนับสนุนการฟ้องร้องเรียกความเป็นธรรมของผู้เคราะห์ร้ายจากสารสีส้มเวียดนาม นาย ไมค์ มาร์ซอย์ รองประธานองค์กรวีเอฟพีเผยว่าพวกเราพยายามปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของทางการท้องถิ่นและประชาชนสหรัฐในปัญหานี้โดยทำการรวบรวมหลักฐานที่ชอบธรรมเกี่ยวกับผลร้ายของสงคราม ความปวดร้าวและสูญเสียที่ชาวเวียดนามต้องทนรับเพื่อเสนอต่อรัฐสภาสหรัฐเพื่อเรียกร้องความช่วยเหลือ อันที่จริงก็มีชาวอเมริกันจำนวนมากมีใจรักเวียดนามดังนั้นหน้าที่ของพวกเราก็มีมากมายเพื่อที่จะกลายเป็นสะพานเชื่อม สมานบาดแผลจากสงครามให้แก่ชาวเวียดนาม

ในความรู้สึกของทหารผ่านศึกอเมริกัน เวียดนามเมื่อเกือบ40ปีก่อนเป็นสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวเพราะความดุเดือดของกระสูนระเบิดแต่ปัจจุบันเมื่อสงครามได้ผ่านไปแล้ว38ปีและเวียดนามกับสหรัฐได้ปรับความสัมพันธ์เป็นปกติมาได้18ปีก็มีทหารผ่านศึกอเมริกันหลายคนได้เดินทางกลับมาเยือนเวียดนามแต่ทุกสถานที่ที่ผ่านไปต่างสร้างความประทับใจอย่างสุดซึ้งโดยเฉพาะการให้อภัยและมิตรไมตรีของชาวเวียดนามจนทำให้ทุกคนตระหนักดีว่า สงครามที่ก่อขึ้นคือสิ่งที่ไร้ความหมายและต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อแบ่งเบาความปวดร้าวนั้น ซึ่งมีบางคนยังบอกว่า ทุกครั้งที่กลับมาเยือนเวียดนามก็เหมือนได้กลับสู่ชายคาอันอบอุ่นที่เปี่ยมด้วยความรักไคร่นายซูล์จอนห์กล่าวว่าผมได้พูดกับทุกคนเสมอว่า ผมได้เกิดใหม่อีกครั้งที่เวียดนามเมื่อปี1968เพราะสำหรับผมเองเวียดนามได้อยู่ในจิตใจในชีวิตของผมมาตลอด แม้ร่างกานภายนอกจะไม่ใช่คนเวียดนามแต่ใจของผมได้ผูกพันธ์กับเวียดนามแล้ว

“เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตแต่สามารถสร้างอนาคตได้” เป็นประโยคหนึ่งในจดหมายเปิดผนึกที่นายซูล์จอนห์และมิตรชาวสหรัฐส่งถึงเวียดนามซึ่งสามารถสื่อถึงความในใจของทุกคนได้อย่างลึกซึ้งและสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องจริง เพราะแม้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตแต่เขาเหล่านั้นสามารถมีปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของชนรุ่นหลังและนี่คือความปรารถนาที่ทหารผ่านศึกอเมริกันหลายคนได้มุ่งสร้างสรรค์ให้เป็นจริงเพื่อช่วยให้ทั้งสองประชาชาติเวียดนาม-สหรัฐกระเถิบเข้าใกล้ชิดกันมากขึ้น./.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด