เดือนถือศีลอด รอมฎอน ที่ไร้ความหมาย

(VOVworld)- เดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเทศกาลถือศีลอดที่สำคัญที่สุดของชาวมุสลิมกว่า1.2พันล้านคนในทั่วโลกได้สินสุดลงแล้ว แต่สถานการณ์การปะทะที่นองเลือดและความรุนแรงที่ทวีในหลายประเทศในช่วงเทศกาลอันศักดิ์สิทธินี้ทำให้งานเทศกาลดังกล่าวไม่มีความหมายที่สมบูรณ์ตามหลักปฏิบัติของเทศกาลนี้คือทุกคนจะต้องทำแต่ความดีในเดือนรอมฎอน

(VOVworld)- เดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเทศกาลถือศีลอดที่สำคัญที่สุดของชาวมุสลิมกว่า1.2พันล้านคนในทั่วโลกได้สินสุดลงแล้ว แต่สถานการณ์การปะทะที่นองเลือดและความรุนแรงที่ทวีในหลายประเทศในช่วงเทศกาลอันศักดิ์สิทธินี้ทำให้งานเทศกาลดังกล่าวไม่มีความหมายที่สมบูรณ์ตามหลักปฏิบัติของเทศกาลนี้คือทุกคนจะต้องทำแต่ความดีในเดือนรอมฎอน

เดือนถือศีลอด รอมฎอน ที่ไร้ความหมาย - ảnh 1
ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย(AFP)

คำว่ารอมฎอนในภาษาอาหรับนั้นหมายถึงเดือนที่9ตามปฏิทินอิสลามหรือเรียกง่ายๆว่าเดือนถือศีลอด โดยในช่วงจัดเทศกาล ชาวมุสลิมทุกคนจะต้องอดอาหาร อดน้ำและบุหรี่ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดินอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่ยังอดอยากยากจนรวมทั้งเป็นการฝึกให้รู้จักอดทนต่อสิ่งรอบตัว หยุดทำความชั่วและออกห่างจากสิ่งที่จะชักนำไปสู่การฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า เพื่อที่ให้ดวงวิญญาณได้ขึ้นขึ้นสู่สรวงสวรรค์ แต่ในทางเป็นจริงเดือนถือศีลอดปีนี้กลับเป็นช่วงที่การปะทะและการใช้ความรุนแรงได้ทวีอย่างกว้างขวางในกลุ่มประเทศอิสลามเช่น ซีเรีย อีรัก  เลบานอนและอัฟกานิสถาน  ซึ่งได้คุกคามต่อความมั่นคงในภูมิภาคและสร้างความหวาดผวาให้แก่ประชาชน

เทศกาลถือศีลอดปีนี้ถือเป็นปีที่2หลังขบวนการ วสันต์แห่งอาหรับ ได้แพร่ขยายไปทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยที่ประเทศอิรัก จากข้อมูลสถิติของสำนักงานความมั่นคงและสาธารณสุขปรากฎว่า เหตุใช้ความรุนแรงต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนรามฎอนได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า400คนและบาดเจ็บอีก1พันคน โดยเหตุการณ์ที่ถือว่านองเลือดที่สุดในรอบ2ปีที่ผ่านมาในประเทศนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23กรกฎาคมส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 113คนและเมื่อวันที่16สิงหาคมที่มีผู้เสียชีวิตกว่า80คนและมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน  ซึ่งเป็นฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงที่มีความสัมพันธ์กับเครือข่ายก่อการร้ายอัลกออิดะห์   ในขณะเดียวกันที่ประเทศเพื่อนบ้านซีเรียเหตุรุนแรงที่ยืดเยื้อมา17เดือนกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายใหม่เมื่อการปะทะระหว่างกองกำลังรัฐบาลและฝ่ายต่อต้านได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทั่วประเทศแม้กระทั่งในช่วงเดือนถือศีลอด เฉพาะในวัน Eid al-Fitr 19สิงหาค ก็มีผู้เสียชีวิตเกือบ60คนทำให้ยอดผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่เกิดวิกฤตในประเทศนี้เพิ่มขึ้นเป็น2หมื่น3พันคน  กระแสชาวซีเรียที่อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและจนถึงขณะนี้มีชาวซีเรีย7หมื่นคนต้องทิ้งบ้านเรือนเพื่อลี้ภัยยังประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนความพยายามเพื่อกอบกู้สันติภาพให้แก่ซีเรียได้ตกสู่ภาวะชงักงันและในสองวันที่ผ่านมาคณะเจ้าหน้าที่ผู้สังเกตการณ์แห่งสหประชาชาติชุดสุดท้ายในซีเรียก็ได้เดินทางออกจากกรุงดามัสกัส อันเป็นการยุติการปฏิบัติหน้าที่ในตลอด4เดือนซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ

วิกฤตในซีเรียที่กลุ่มชาวสุหนี่เป็นฝ่ายจุดชนวนเพื่อต่อต้านประธานาธิบดีบาซาร์ อัล อาสซาส ก็ได้ลุกลามไปยังประเทศเลบานอนจนส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมนิกายสุหนี่และนิกายชีอะห์ อะลาไวท์ (Alawite) ในกรุงเบรุตทวีความตึงเครียดจนนำไปสู่เหตุรุนแรงในวันสุดท้ายของเดือนรามฎอนระหว่างสองฝ่ายในบริเวณเส้นแบ่งเขต Bab El Tebbaneh และเขต Jabal Mohsen ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย15คนและบาดเจ็บหลายสิบคน และความไร้เสถียรภาพในเลบานอนได้ทำให้หลายประเทศเขตอ่าวต้องประกาศเตือนให้พลเมืองของตนออกจากเลบานอนทันที ในขณะเดียวกันการเปิดเผยข่าวเกี่ยวกับการที่อิสราเอลจะเปิดการโจมตีทางทหารใส่โรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านในช่วงฤดูไม้ผลัดใบปีนี้ก็ทำให้ความหมายแห่งความสงบสุขของเดือนรามฎอนเสียไป โดยเมื่อวันที่17สิงหาคมซึ่งเป็นวันเยรูซาเลมที่มักจะจัดขึ้นในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนถือศีลอด มีชาวปาเลสไตน์เกือบ1500คนได้เข้าร่วมการเดินขบวนในเขตดินแดนของปาเลสไตน์ที่ฉนวนกาซ่าเพื่อประท้วงอิสราเอลยึดครองเมืองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นหนึ่งในสามนครศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม ซึ่งเป็นกิจกรรมประจำปีของประชาคมชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลอิหร่านและปีนี้ได้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่ความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่จะเกิดสงครามในตะวันออกกลางนับวันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อบรรดาผู้นำประเทศต่างๆในภูมิภาคต่างแสดงท่าทีและออกแถลงการณ์ที่สร้างความตึงเครียดมากขึ้น  โดยภายหลังที่นายกฯอิสราเอล เนทันยาฮู และรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม บารัคได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเปิดการโจมตีทางทหารต่ออิหร่าน ส่วนหัวหน้าขบวนการฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน นาสราลา ได้ออกมาประกาศเตือนว่า หากถูกโจมตี พวกเขาจะทำให้อิสราเอลกลายเป็นนรกรวมทั้งพร้อมที่จะใช้จรวดในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติหากมีความจำเป็น ในขณะที่นาย อามาดีเนชาด ประธานาธิบดีอิหร่านได้แสดงความเห็นว่า ไม่มีที่ให้อิสราเอลยืนในภูมิภาคตะวันออกกลางใหม่

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า สำหรับชาวมุสลิมทุกคน เดือนถือศีลอดปีนี้ได้กลายเป็นเรื่องไร้ความหมายเพราะแทนที่จะมุ่งทำแต่ความดีและภาวนาในสิ่งที่ดีงามให้แก่อนาคต แต่กลับเต็มไปด้วยความรุนแรงด้วยควันกระสูนระเบิดและความตายโดยเหยื่อคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ การปะทะที่นองเลือดและการใช้ความรุนแรงที่ทวีขึ้นนั้นกำลังสร้างภาพอันมืดมนให้แก่ความมั่นคงของโลกโดยไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ชาวมุสลิมถึงจะได้ฉลองเทศกาลรามฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ของตนในบรรยากาศแห่งสันติ./.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด