(VOVWORLD) -ในช่วงปลายปี 2022 เวียดนามจะมีกิจกรรมการต่างประเทศที่สำคัญๆ โดยควบคู่กับการพบปะทวิภาคีและการเข้าร่วมฟอรั่มพหุภาคีต่างๆ ของผู้นำเวียดนามแล้ว เวียดนามยังให้การต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาเยือนอย่างเป็นทางการ ซึ่งการเยือนที่น่าจับตามองคือการเยือนของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Olaf Scholz และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ Jacinda Arden พร้อมกับกิจกรรมและแผนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมต่างๆ ที่จะสร้างพลังขับเคลื่อนขยายความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับสองประเทศนี้ให้ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่
นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Olaf Scholz |
การเยือนเวียดนามของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Olaf Scholz มีขึ้นในระหว่างวันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน ซึ่งนี่เป็นการเยือนเวียดนามครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีเยอรมนีในรอบ 11 ปีนับตั้งแต่การเยือนเวียดนามของนาง Angela Merkel เมื่อเดือนตุลาคมปี 2011 และเป็นการเยือนระดับสูงครั้งแรกระหว่างสองประเทศในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่เวียดนามและเยอรมนีมีรัฐบาลชุดใหม่
หน้าใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามกับเยอรมนี
การเยือนนี้มีความหมายสำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในสภาวการณ์ที่เวียดนามและเยอรมนีกำลังปฏิบัติข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพในตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการลงนามเมื่อปี 2011 และผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ – การค้าหลัง 2 ปีที่ข้อตกลงการค้าเสรีเวียดนาม – สหภาพยุโรปหรืออีวีเอฟทีเอมีผลบังคับใช้
ในการเจรจาเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง และนายกรัฐนตรี Olaf Scholz ได้เห็นพ้องขยายความร่วมมือในหลายด้าน เช่น เปิดตลาดจำหน่ายสินค้า ธำรงห่วงโซ่อุปทาน แหล่งวัตถุดิบและแหล่งต้นกำเนิดสินค้า ปฏิบัติโครงการรถไฟฟ้าใต้ดินในฮานอยโดยมีหุ้นส่วนเยอรมนีเข้าร่วม พัฒนาพลังงานหมุนเวียน รับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องขยายความร่วมมือในด้านกลาโหม – ความมั่นคง การศึกษา – ฝึกอบรม วิทยาศาสตร์ – เทคโนโลยี สาธารณสุข วัฒนธรรม ตุลาการ กฎหมาย การสอนอาชีพและแรงงานอพยพ เจรจาและลงนามในข้อตกลงสอนอาชีพที่มีคุณภาพสูงและข้อตกลงความร่วมมือในด้านแรงงานฝีมือดีโดยเร็ว เวียดนามและเยอรมนีได้อนุมัติแผนการปฏิบัติในปี 2023 และ 2024 เพื่อปฏิบัติความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทวิภาคีอย่างเข้มแข็ง วางวิสัยทัศน์ในระยะยาวให้แก่ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงปี 2030 และในปีต่อๆ ไป ในการเยือนครั้งนี้ เวียดนามและเยอรมนีได้ลงนามบันทึกช่วยจำเกี่ยวกับความร่วมมือด้านกลาโหม ซึ่งเป็นความตกลงเชิงยุทธศาสตร์ด้านกลาโหมฉบับแรกระหว่างสองประเทศ
สามารถยืนยันได้ว่า การเยือนเวียดนามครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีเยอรมนี Olaf Scholz จะเปิดหน้าใหม่ที่สดใสให้แก่ความสัมพันธ์ร่วมมือและไมตรีจิตที่ดีงามระหว่างสองประเทศ พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงการที่เยอรมนีนับวันให้ความสนใจและความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะสถานะและบทบาทของเวียดนาม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่น่าไว้วางใจและมีเสถียรภาพของเยอรมนีในภูมิภาคและโลกที่กำลังมีความผันผวนอย่างซับซ้อนมากขึ้น
สร้างพลังขับเคลื่อนให้แก่ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านเวียดนาม – นิวซีแลนด์
เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำเวียดนาม Tredene Dobson (VGP) |
ส่วนในระหว่างวันที่ 14-17 พฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ Jacinda Ardern ก็กำลังอยู่ระหว่างการเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์หุ้นส่วนในทุกด้านเวียดนาม – นิวซีแลนด์กำลังพัฒนาอย่างงดงาม ก่อนการเยือนเวียดนามครั้งนี้ เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำเวียดนาม Tredene Dobson ได้ยืนยันว่า “ในตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 แต่เราภูมิใจที่ยังคงธำรงความสัมพันธ์นี้ โดยเฉพาะทั้งสองฝ่ายยังคงธำรงการเยือนระหว่างกันในทุกระดับ ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ได้รับการเสริมสร้างบนพื้นฐานแห่งความร่วมมือในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการค้า เศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา กลาโหมและความมั่นคง การพบปะในระดับประชาชน ดังนั้น นี่เป็นโอกาสสำคัญให้นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ยืนยันเกี่ยวกับพื้นฐานที่ยั่งยืนนี้”
ในกรอบการเยือนประเทศเวียดนามครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ Jacinda Ardern และนายกรัฐมนตรี ฝ่ามมิงชิ้ง จะเน้นหารือเกี่ยวกับมาตรการฟื้นฟูการเชื่อมโยง โดยเฉพาะฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ การค้าและการท่องเที่ยวหลังช่วงวิกฤตโควิด -19 โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น “การสนทนาสถานประกอบการนิวซีแลนด์ – เวียดนาม” “การสนทนาและงานนิทรรศการ AgriConnectioNZ: หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ในด้านการเกษตร” นี่คือโอกาสให้สถานประกอบการและสถาบันวิจัยของทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพิ่มการพบปะแลกเปลี่ยนด้านการค้าเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่สถานประกอบการและประชาชนของทั้งสองประเทศ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในการเดินทางมาเยือนเวียดนามครั้งนี้พร้อมกับนายกรัฐมนตรี Jacinda Ardern ยังมีคณะผู้แทนสถานประกอบการนิวซีแลนด์ร่วมคณะมาด้วยมากที่สุดนับตั้งมีการเยือนเวียดนาม ซึ่งถือเป็นการยืนยันถึงความตั้งใจของทั้งสองประเทศที่จะนำมูลค่าการค้าต่างตอบแทนขึ้นเป็น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2024 เอกอัครราชทูตนิวซีแลนด์ประจำเวียดนามกล่าวว่า
“หนึ่งในความได้เปรียบในความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศคือ ทั้งเวียดนามและนิวซีแลนด์ต่างเป็นเศรษฐกิจเปิด ที่มีการผสมผสานเข้ากับกระแสโลกอย่างกว้างลึก นิวซีแลนด์เป็นตลาดที่เสรีและเปิดกว้าง โดยตระหนักได้ดีเกี่ยวกับประโยชน์จากหุ้นส่วนการค้าต่างๆ ดังนั้น จากการมีทักษะความสามารถในการผลิต เวียดนามเป็นหุ้นส่วนที่เราต้องการ ถ้าหากเราสามารถกำหนดศักยภาพนี้ให้แก่สถานประกอบการของทั้งสองประเทศ เราก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าต่างตอบแทน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2024 ได้อย่างแน่นอน”
การเยือนได้มีขึ้นในสภาวการณ์ที่ความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์เวียดนาม – นิวซีแลนด์นับวันพัฒนาอย่างดีงามมากขึ้น การเยือนเวียดนามครั้งแรกนี้ของนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ได้รับการคาดหวังว่า จะช่วยผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ขึ้นสู่ขั้นสูงใหม่.