เหตุจับกุมสายลับสหรัฐในรัสเซียบททดสอบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจสหรัฐ รัสเซีย

(VOVworld) – ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐที่เพิ่งมีความหวังใหม่หลังยุคสงครามเย็น๒ทศวรรษกำลังเผชิญความท้าทายใหม่หลังจากที่สำนักงานฝ่ายความมั่นคงกลางรัสเซียหรือเอฟเอสบีได้จับกุมตัวและเนรเทศสายลับของหน่วยข่าวกรองสหรัฐหรือCIAที่ปฏิบัติงานในสถานทูตสหรัฐในกรุงมอสโคว์เพราะสงสัยว่าใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อชักชวนให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับรัสเซียทำงานให้สหรัฐ ทั้งสองประเทศมหาอำนาจจะแก้ไขปัญหานี้เช่นไร หรือจะปล่อยให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่ประชามติโลกให้ความสนใจ

(VOVworld)–ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐที่เพิ่งมีความหวังใหม่หลังยุคสงครามเย็น๒ทศวรรษกำลังเผชิญความท้าทายใหม่หลังจากที่สำนักงานฝ่ายความมั่นคงกลางรัสเซียหรือเอฟเอสบีได้จับกุมตัวและเนรเทศสายลับของหน่วยข่าวกรองสหรัฐหรือCIAที่ปฏิบัติงานในสถานทูตสหรัฐในกรุงมอสโคว์เพราะสงสัยว่าใช้เงินก้อนใหญ่เพื่อชักชวนให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับรัสเซียทำงานให้สหรัฐ ทั้งสองประเทศมหาอำนาจจะแก้ไขปัญหานี้เช่นไร หรือจะปล่อยให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นเป็นสิ่งที่ประชามติโลกให้ความสนใจ

เหตุจับกุมสายลับสหรัฐในรัสเซียบททดสอบความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจสหรัฐ รัสเซีย - ảnh 1
นายไรอัน ฟอเกิล (Photo:baomoi.com )

(VOVworld) – เมื่อวันที่๑๔พฤษภาคม สื่อมวลชนรัสเซียได้รายงานข่าวว่า ทางการรัสเซียได้จับกุมตัวนายไรอัน ฟอเกิล เลขานุการตรีสถานทูตสหรัฐประจำกรุงมอสโคว์ระหว่างพยายามเข้าไปชักชวนให้เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับรัสเซียแปรพักตร์และหันมาทำงานล้วงข้อมูลลับให้กับทางการสหรัฐ  กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียได้เรียกนายMichael MacFaulเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำมอสโคว์เข้าพบทันทีและออกมติเนรเทศนายไรอัน ฟอเกิล ออกจากรัสเซีย  เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียมีความอ่อนไหวเพราะทั้งสองฝ่ายกำลังมีก้าวเดินที่รอบคอบเพื่อปรับความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ดีขึ้นหลังจากที่เยนชาใส่กันมานาน แม้ว่า ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่า มีความตั้งใจที่จะปรับความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ดีขึ้นแต่ยังคงมีอุปสรรคขัดขวาง นั่นคือปัญหาการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์หรือNMDของสหรัฐในยุโรป โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ขีปนาวุธของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี และความผันผวนของขบวนกาวสันต์ฤดูอาหรับ เป็นต้นโดย ปี๒๐๑๒ถือเป็นปีแห่งมรสุมในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับรัสเซียโดยมีการตอบโต้กัน เช่น มอสโคว์ระงับกิจกรรมของสำนักงานพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐหรือUSAIDในรัสเซีย รัฐสภาสหรัฐอนุมัติกฏหมายมากนีตสกีซึ่งเป็นกฏหมายที่มีชื่อของนักกฏหมายรัสเซียแซกเกย์ มากนีตสกีที่เสียชีวิตในเรือนจำของรัสเซียก่อนที่ถูกนำตัวขึ้นศาลดำเนินคดีโทษฐานหนีภาษี ต่อจากนั้น รัฐสภารัสเซียก็อนุมัติกฏหมายห้ามชาวอเมริกันรับบุตรบุญธรรมจากรัสเซียและล่าสุด ทางการประธานาธิบดีบารัก โอบามาได้จัดทำรายชื่อเจ้าหน้าที่รัสเซีย๑๘คนที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยถูกห้ามเข้าเมืองสหรัฐและถูกอายัดทรัพย์สินในสหรัฐ ส่วนฝ่ายมอสโคว์ก็ตอบโต้ด้วยการประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่อเมริกัน๑๘คนที่ถูกห้ามเข้าเมืองรัสเซียเช่นกัน  นอกจากนี้  ข้อขัดแย้งในการแก้ไขวิกฤติทางการเมืองในซีเรียยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยากที่จะดีขึ้นได้            สำหรับกรณีการจับกุมนายไรอัน ฟอเกิล สายลับของCIA ในรัสเซียนั้น มิใช่เป็นปัญหาใหม่แต่อย่างใดเพราะ ในอดีต  ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายมักถูกผลกระทบจากกรณีอื้อฉาวต่างๆในลักษณะนี้ แต่การจับกุมตัวสายลับอเมริกันรายนี้ทำให้ประชามติมีความวิตกกังวลว่า จะส่งผลกระทบในทางลบต่อความสัมพันธ์หุ้นส่วนระหว่างสองประเทศที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่หรือไม่ซึ่งจากสัญญาณในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองประเทศกำลังมีท่าทีที่อดกลั้นเพื่อไม่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น โดยจนถึงขณะนี้ ทางการสหรัฐยังไม่มีท่าทีใดๆต่อข่าวดังกล่าว แม้ว่า การกระทำของรัสเซียเป็นการยั่วยุและไม่สอดคล้องกับการผลักดันความไว้วางใจระหว่างสองประเทศ แต่นายPatrick Ventrell  โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐก็ยืนยันว่า กรณีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ  ส่วนบรรดาผู้สันทัดกรณีเห็นว่า ขัดกับแนวทางปฏิบัติเพื่อเป็นการตอบโต้ที่เคยทำแล้วของทางการสหรัฐคือก็จะเนรเทศเจ้าหน้าที่รัสเซียทันที ท่าทีที่รอบคอบครั้งนี้ถือเป็นสัญญาญดี ที่แสดงให้เห็นว่า ทำเนียบขาวพร้อมที่จะก้าวข้ามทุกกรณีอื้อฉาวเพื่อร่วมมือกับเครมลินต่อไปและดูเหมือนว่า ผลเสียหายจากเหตุระเบิดในบอสตันมาราธอนได้เป็นบทเรียนที่ทำให้วอชิงตันไม่อยากทำให้ปัญหานี้ตึงเครียดยิ่งขึ้น ซึ่งอันที่จริง  ความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นแฟ้นระหว่างกองกำลังความมั่นคงรัสเซียและสหรัฐได้สร้างโอกาสเพื่อให้อาชญากรรมขยายการเคลื่อนไหวซึ่งกรณีวางระเบิดในบอสตันถือเป็นตัวอย่างและกลายเป็นโอกาสเพื่อให้ทั้งสองประเทศกระเถิบเข้าใกล้กันในความร่วมมือด้านความมั่นคงซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายเพราะ อีกไม่นานก็จะถึงวันเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวปี๒๐๑๔ ณ เมืองโซจี ดังนั้น รัสเซียต้องขจัดภัยคุกคามก่อการร้าย โดยเฉพาะจากเขตคอเคซัสเหนือของรัสเซียซึ่งเป็นแหล่งเคลื่อนไหวของลัทธิอิสลามหัวรุนแรง ส่วนสหรัฐก็ต้องการรัสเซียเคียงบ่าเคียงไหล่ในการต่อต้านลัทธิก่อการร้ายระหว่างประเทศที่สหรัฐมุ่งปฏิบัติ             แม้จะมีความเห็นว่า กรณีอื้อฉาวนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐมากนัก แต่แน่นอนว่า นี่เป็นก้าวถอยหลังในความพยายามเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างมอสโคว์กับวอชิงตันเพื่อทำลายกำแพงแห่งความระแวงสงสัยที่ขัดขวางความ สัมพันธ์ของอดีตศัตรูในสงครามเย็นซึ่งจะต้องใช้เวลานานและต้องเผชิญกับความลุ่มๆดอนๆมากมายเพราะทั้งสองฝ่ายยังมีความขัดแย้งกันอย่างลึกซึ้งในด้านทัศนะและการแข่งขันกันด้านผลประโยชน์./.

คำติชม

ข่าวอื่นในหมวด