(VOVworld)- วันที่ 30 สิงหาคมนี้ การประชุมสุดยอดขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือ NAM ได้เปิดขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ กรุงเตหะรานประเทศอิหร่านภายใต้หัวข้อ ธำรงสันติภาพผ่านการบริหารร่วมในทั่วโลก โดยมีการเข้าร่วมของเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติบันคีมูน ตัวแทนจากกว่า100ประเทศและดินแดนซึ่งได้เป็นการยืนยันถึงบทบาทสำคัญขององค์กรนี้ในเวทีโลกปัจจุบัน  การที่อิหร่านได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมและจะรับหน้าที่เป็นประธานของNAM ต่อจากอิยิปต์วาระปี2012-2015นั้นเป็นทั้งหน้าที่อันหนักหน่วงและโอกาสที่ดีในสภาวการณ์ที่วิกฤตนิวเคลียร์ของประเทศนี้กำลังอยู่ในภาวะชงักงัน

การประชุมสุดยอดขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด(internet)

ก่อนการประชุมสุดยอดขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดหรือ NAM ก็ได้มีการจัดประชุมระดับผู้เชี่ยวชาญและระดับรัฐมนตรีในระหว่างวันที่28-29สิงหาคมที่สามารถประสบผลงานที่สำคัญเพื่อยื่นต่อการประชุมสุดยอด โดยบรรดาผู้แทนต่างยืนยันถึงความมุ่งมั่นในสันติภาพ ความยุติธรรมและให้ความเคารพกฎหมายสากล ซึ่งนาย โมฮัมเหม็ด มาดี เอคุนยาเดก รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้แสดงความเห็นว่า บรรดาผู้แทนจากประเทศและดินแดนได้มีความเห็นพ้องกันต่อการยุติการยึดครองดินแดนในทุกรูปแบบ การทำลายอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้ประเทศต่างๆเข้าร่วมกระบวนการต่อต้านการใช้อาวุธเคมี  ที่ประชุมยังหารือถึงข้อเสนอต่างๆที่ประณามการคว่ำบาตรแต่เพียงฝ่ายเดียวจากฝ่ายตะวันตกต่ออิหร่านและประเทศอื่นๆรวมทั้งเรียกร้องให้NAMส่งเสริมบทบาทของตนในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นและเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ที่มีเส้นแบ่งพรมแดนก่อนปี1967

ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ บันคีมูน ได้เสนอให้อิหร่านเร่งมีปฏิบัติการที่เร่งด่วนเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ และได้กล่าวถึงความวิตกกังวลของประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับลัทธิก่อการร้ายและวิกฤตในซีเรียตลอดจนย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีความร่วมมือแก้ไขในปัญหาต่างๆดังกล่าวเพื่อสันติภาพและเสถียรภาพทั้งในอิหร่านและในภูมิภาค

รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านเผยว่า  จะยื่นเสนอมาตรการที่เหมาะสมเกี่ยวกับปัญหาซีเรียต่อที่ประชุม NAM16(internet)

จากสถานการณ์ในปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่าทางการของประธานาธิบดีมามุดอามาดีเนชาดได้มีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีต่อการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมครั้งนี้ เพราะในสภาวการณ์ที่กำลังถูกปิดล้อมและถูกกดดันจากสหรัฐและฝ่ายตะวันตกจากวิกฤตด้านนิวเคลียร์แต่อิหร่านก็รู้จักใช้ประโยชน์จากเวทีฟอรั่มระหว่างประเทศให้เป็นโอกาสเพื่อยกระดับสถานะทางการทูตของตน และเรียกร้องการสนับสนุนจากประเทศอื่นๆเพื่อการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ โดยในการกล่าวปราศรัยก่อนการประชุมทางการของประธานาธิบดีมามุดอามาดีเนชาดได้ยืนยันอีกครั้งว่า มาตรการคว่ำบาตรต่างๆจากฝ่ายตะวันตกล้วนแต่เดินสวนกับกฎบัติสหประชาชาติและอิหร่านพร้อมที่จะเชิญผู้แทนของประเทศสมาชิกที่ร่วมประชุมครั้งนี้เดินทางไปเยือนเขตฐานทัพ ปาร์จิน ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นสถานที่ที่สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศหรือไอเออีเอตั้งข้อสงสัยว่าเป็นสถานที่ทดลองนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดของอิหร่านในการเปิดเผยและยืนยันความหมายด้านพลเรือนของโครงการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติภาพของตน ซึ่งทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าทุกเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่างเป็นไปตามความคาดหวังของบรรดาเจ้าหน้าที่เตหะรานนั่นคือ การสนับสนุนที่เข้มแข็งและการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นพันธมิตรที่สำคัญในขณะที่วิกฤตนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับตะวันตกยังไม่มีความเดินหน้า การที่นายบันคีมูนได้เข้าร่วมการประชุม ณ อิหร่าน โดยเฉพาะในกรอบการประชุมนี้ ไคโรกับเตหะรานฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตที่ถูกทิ้งช่วงมา3ทศวรรษ ซึ่งการเชิญประธานาธิบดีอิยิปต์เข้าร่วมประชุมNAMได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการทูตของอิหร่านที่มีต่ออิยิปต์ เป็นก้าวเดินที่สำคัญเพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีให้แก่การปกป้องความปลอดภัยของภูมิภาคหากเกิดสงครามกับอิสราเอล ในทางตรงข้าม การที่ประธานาธิบดีอิยิปต์ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของอิหร่านในการโน้มน้าวให้ขยายพันธมิตรเพื่อมุ่งแก้ไขภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาค  ส่วนในนัดเปิดประชุมบรรดารัฐมนตรีNAM รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการต่างประเทศอิยิปต์ รามซี อี เอล ดิน ได้แสดงความเชื่อมั่นต่ออิหร่านว่า ในฐานะเป็นประธานขบวนการในวาระต่อไป อิหร่านจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติเป้าหมายสำคัญๆต่างๆที่ได้วางไว้ โดยให้ความสนใจก่อนต่อการปฏิรูประเบียบการต่างๆของโลกเพื่อตอบสนองความต้องการของทุกประเทศสมาชิก แต่สิ่งนี้กลับสร้างความไม่พอใจให้แก่บรรดาประเทศตะวันตก โดยก่อนที่นาย บันคีมูน เดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอด NAM สหรัฐ แคนาดาและอิสราเอลได้เรียกร้องให้ผู้นำสหประชาชาติไม่ควรเข้าร่วมการประชุมนี้เพราะจะเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรง  ส่วนการที่อิยิปต์และอิหร่านหันมาจับมือกันได้ทำให้วอชิงตันต้องประเมินว่าเป็นสัญญาณที่ผิดปกติในขณะที่ฝ่ายเทลอาวีฟจะต้องเวียนหัวกับการคิดแผนการใหม่

จากทุกอย่างที่ทำไปเพื่อรองรับการประชุมสุดยอดขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดนั้น อิหร่านก็สามารถประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่งและประชามติกำลังรอดูว่า ในฐานะหน้าที่ใหม่พร้อมกับความท้าทายที่หนักหน่วงในปัจจุบัน เตหะรานจะสามารถแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาของตนได้หรือไม่ โดยก่อนอื่นคือการแก้ไขความชงักงันในวิกฤตนิวเคลียร์กับกลุ่มประเทศตะวันตก./.